กฎหมายลักษณะยืม (กู้ยืม ยืมใช้สิ้นเปลือง )มาตรา 653
กฎหมายกู้ยืมนั้นเป็นกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 3 เอกเทศสัญญา ลักษณะ 9 หมวด 2 ว่าด้วยยืมใช้สิ้นเปลือง ก่อนอื่นเราต้องทำความเข้าใจความหมายก่อนนะครับว่า ยืมใช้สิ้นเปลืองคืออะไร ซึ่งกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 650 ได้ให้คำนิยามว่าดังนี้
↧
↧
การปล่อยวาง คือ ศิลปของชีวิต
การทำความดี ให้เริ่มต้นจากตัวเราก่อน สังคมมันจะเลว แต่ตัวเราไม่ต้องเลวร้ายตาม เราไม่สามารถห้ามคนอื่นทำความชั่วได้ แต่ห้ามตัวเราไม่ให้ทำความชั่วได้ อย่าหวังพึ่งผู้อื่นมากจนกว่าการคิดที่จะพึ่งตนเอง อย่าแสวงหาสิ่งที่อยู่นอกตัวเราจนเกินพอดี พองาม การทำความดีในตน เป็นสิ่งที่ทำได้ ถ้าหาความเป็นธรรมจากภายนอกมีแต่จะผิดหวังเท่านัน
คนที่โกรธคนอื่น จะเสียเปรียบคนอื่นมาก อย่าไปหาความดีจากคนอื่น อย่า
ทำอะไรตามความคิด อย่าปล่อยให้ความคิดออกหน้า จงให้สตินำหน้าความคิด...
พูดกับคนอื่นให้น้อย เตือนสติตนเองให้มาก ความหลงเป็นศัตรูของความคิด ความรู้เป็นมิตรกับปัญญา ให้กลัวความหลง ให้กล้ากับความรู้สึก ฉลาดในการเอาชนะตัวเอง ยอมแพ้คนอื่นในทางสมมุติ มีสติเฝ้าดูตัวเอง....
มองเห็นทุกสิ่งอย่างตามธรรมชาติ นั่นแหละคือเห็นธรรม...
ความประมาทเป็นหนทางสู่ความตาย จงอย่าประมาท ให้มีสติอยู่ทุกเมื่อ การมีสติ คือ การมีคุณภาพชีวิตที่ดี และการสร้างคุณภาพชีวิต คือการสร้าง สติ...
การปล่อยวางเป็นศิลปะของจิตใจ ยิ่งมีความปล่อยวางมากเท่าไหร่ ยิ่งมีความมั่นคงมากเท่านั้น ความยึดมั่นถือมั่น จะทำให้เกิดความล้มเหลวในชีวิตตลอดกาล....
ถ้ากาย ใจ ขาด สติ นั่นและชื่อว่าประมาทแม้เพียงชั่ววูปขณะจิต ความประมาทเกิดความเสียหายแก่ตนเอง และคนอื่นอย่างมหาศาล...
ที่ใดมีรูป ที่นั้นมีนาม ที่ใดมีนามที่นั้นมีรูป ในรูปนามนี้มีทั้งธรรมชาติ และมีทั้งอาการ ผู้ที่แจ้งแล้วย่อมมองเห็นธรรมชาติตามเป็นจริงแล้วปล่อยให้เป็นของธรรมชาติบ้าง ของอาการบ้าง ตามสภาวะแห่งเหตุปัจจัย...
กรรมเป็นสิ่งจำแนกสัตว์ การมีสติภายในจิตใจ คือการทำกรรมดี และไม่มีกรรมใดที่ถูกต้องเท่าการมีสติ เมื่อสติสมบูรณ์ สมาธิย่อมเกิด สติปัฐานย่อมบริบูรณ์และเป็นทางสายเดียวที่จะทำให้สัตว์หลุดพ้นได้ นอกนี้แล้วยังมองไม่เห็นทางอื่น....
การทำความดี ต้องพึ่งตนเองก่อน สร้างเอาเอง มีสติ ปล่อยวาง เสียสละ ตั้งจิตใจไว้ให้ถูก ไม่เบียดเบียนตนเองและผู้อื่น นั่นและทางสายกลาง การเห็นเหตุปัจจัย ทำเหตุให้ดี เห็นอาการต่างๆที่เกิดขึ้นตามเป็นจริง ทำให้แจ้งได้ในสิ่งต่างๆ ผ่านได้ตลอดในอาการต่างๆ มองตน เห็นตน เตือนตน ไม่เป็นไปตามมัน รู้สมมุติ ถอนสมมุติ รู้แจ้งในรูปและนาม...
สิ่งทั้งหลายทั้งปวงย่อมไม่เที่ยงแท้แน่นอน มีเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไปเป็นธรรมดา(อนิจจํ ทุกขํ อนตฺตา) ไม่ควรไปยึดมั่นถือมั่น ในสิ่งทั้งปวง มีแต่ธรรมชาติ ธรรมดาเท่านั้น ไม่มีใครเจ็บป่วยไม่มีใครตายหรอก ร่างกายมันแสดงธรรมในตัวมันเอง มันบอกถึงความไม่เที่ยงของมันเอง สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นย่อมเป็นทุกข์ ....
ร่างกาย สังขาร มันบอกถึงความไม่เที่ยงของสังขาร มันบอกถึงความไม่ใช่ตัว ไม่ใช่ตน เป็นไปตามเหตุปัจจัย ให้ดูมันไป ถึงเวลาก็ปล่อยวาง อย่าไปยึดติด พร้อมที่จะทิ้งตลอดเวลา เพราะทุกอย่างย่อมมีสภาพเช่นนั้น(แน่นอน).....
การปฎิบัติธรรม ให้เริ่มที่ตัวเอง ไม่ต้องแสวงหาเวลาที่ไหน เพราะเวลาอยู่กับเราทุกลมหายใจเข้า ออก ถ้ามีเวลาหายใจก็มีเวลาปฏิบัติธรรม...
คนที่โกรธคนอื่น จะเสียเปรียบคนอื่นมาก อย่าไปหาความดีจากคนอื่น อย่า
ทำอะไรตามความคิด อย่าปล่อยให้ความคิดออกหน้า จงให้สตินำหน้าความคิด...
พูดกับคนอื่นให้น้อย เตือนสติตนเองให้มาก ความหลงเป็นศัตรูของความคิด ความรู้เป็นมิตรกับปัญญา ให้กลัวความหลง ให้กล้ากับความรู้สึก ฉลาดในการเอาชนะตัวเอง ยอมแพ้คนอื่นในทางสมมุติ มีสติเฝ้าดูตัวเอง....
มองเห็นทุกสิ่งอย่างตามธรรมชาติ นั่นแหละคือเห็นธรรม...
ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต...
ความประมาทเป็นหนทางสู่ความตาย จงอย่าประมาท ให้มีสติอยู่ทุกเมื่อ การมีสติ คือ การมีคุณภาพชีวิตที่ดี และการสร้างคุณภาพชีวิต คือการสร้าง สติ...
การปล่อยวางเป็นศิลปะของจิตใจ ยิ่งมีความปล่อยวางมากเท่าไหร่ ยิ่งมีความมั่นคงมากเท่านั้น ความยึดมั่นถือมั่น จะทำให้เกิดความล้มเหลวในชีวิตตลอดกาล....
ถ้ากาย ใจ ขาด สติ นั่นและชื่อว่าประมาทแม้เพียงชั่ววูปขณะจิต ความประมาทเกิดความเสียหายแก่ตนเอง และคนอื่นอย่างมหาศาล...
ที่ใดมีรูป ที่นั้นมีนาม ที่ใดมีนามที่นั้นมีรูป ในรูปนามนี้มีทั้งธรรมชาติ และมีทั้งอาการ ผู้ที่แจ้งแล้วย่อมมองเห็นธรรมชาติตามเป็นจริงแล้วปล่อยให้เป็นของธรรมชาติบ้าง ของอาการบ้าง ตามสภาวะแห่งเหตุปัจจัย...
กรรมเป็นสิ่งจำแนกสัตว์ การมีสติภายในจิตใจ คือการทำกรรมดี และไม่มีกรรมใดที่ถูกต้องเท่าการมีสติ เมื่อสติสมบูรณ์ สมาธิย่อมเกิด สติปัฐานย่อมบริบูรณ์และเป็นทางสายเดียวที่จะทำให้สัตว์หลุดพ้นได้ นอกนี้แล้วยังมองไม่เห็นทางอื่น....
การทำความดี ต้องพึ่งตนเองก่อน สร้างเอาเอง มีสติ ปล่อยวาง เสียสละ ตั้งจิตใจไว้ให้ถูก ไม่เบียดเบียนตนเองและผู้อื่น นั่นและทางสายกลาง การเห็นเหตุปัจจัย ทำเหตุให้ดี เห็นอาการต่างๆที่เกิดขึ้นตามเป็นจริง ทำให้แจ้งได้ในสิ่งต่างๆ ผ่านได้ตลอดในอาการต่างๆ มองตน เห็นตน เตือนตน ไม่เป็นไปตามมัน รู้สมมุติ ถอนสมมุติ รู้แจ้งในรูปและนาม...
สิ่งทั้งหลายทั้งปวงย่อมไม่เที่ยงแท้แน่นอน มีเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไปเป็นธรรมดา(อนิจจํ ทุกขํ อนตฺตา) ไม่ควรไปยึดมั่นถือมั่น ในสิ่งทั้งปวง มีแต่ธรรมชาติ ธรรมดาเท่านั้น ไม่มีใครเจ็บป่วยไม่มีใครตายหรอก ร่างกายมันแสดงธรรมในตัวมันเอง มันบอกถึงความไม่เที่ยงของมันเอง สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นย่อมเป็นทุกข์ ....
ร่างกาย สังขาร มันบอกถึงความไม่เที่ยงของสังขาร มันบอกถึงความไม่ใช่ตัว ไม่ใช่ตน เป็นไปตามเหตุปัจจัย ให้ดูมันไป ถึงเวลาก็ปล่อยวาง อย่าไปยึดติด พร้อมที่จะทิ้งตลอดเวลา เพราะทุกอย่างย่อมมีสภาพเช่นนั้น(แน่นอน).....
การปฎิบัติธรรม ให้เริ่มที่ตัวเอง ไม่ต้องแสวงหาเวลาที่ไหน เพราะเวลาอยู่กับเราทุกลมหายใจเข้า ออก ถ้ามีเวลาหายใจก็มีเวลาปฏิบัติธรรม...
↧
อุบายวิปัสนา
อันเป็นเครื่องถอนกิเลส (หลวงปู่มั่น ภูิริทัตเถร)
ธรรมชาติของดีทั้งหลาย ย่อมเกิดมาแต่ของไม่ดีอุปมาดังดอกปทุมชาติอันสวยๆ งาม ก็เกิดขึ้นมาจากโคลนตมอันเป็นของสกปรกปฏิกูลน่าเกลียด แต่ว่าดอกบัวนั้น เมื่อขึ้นพ้นโคลนตมแล้วย่อมเป็นสิ่งที่สะอาด เป็นสิ่งที่ทัตทรงของพระราชา อุปราช อำมาตย์ และเสนาบดี เป็นต้น และดอกบัวนั้นก็มิกลับคืนไปยังโคลนตมอีกเลย ข้อนี้เปรียบเหมือนพระโยคาวจรเจ้า ผู้ประพฤติพากเพียรประโยคพยายาม ย่อมพิจารณาซึ่งสิ่งสกปรกน่าเกลียด จิตจึงพ้นสิ่งสกปรก น่าเกลียดได้สิ่งสกปรกน่าเกลียดนั้นคือ ตัวเรานี้เอง ร่างกายนี้เป็นที่ประชุมของโสโครก คือ อุจาระ ปัสสาวะ (มูตร คูถ ทั้งปวง) สิ่งที่ออกจาก ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เป็นต้น ก็เรียกว่า ขี้ทั้งหมด เช่น ขี้หัว ขี้เล็บ ขี้ฟัน เป็นต้น เมื่อสิ่งเหล่านี้ร่วงหล่นลงสู่อาหาร มีแกง กับ เป็นต้น
ก็รังเกียจ ต้องเททิ้ง กินไม่ได้และร่างกายนี้ต้องชำระเสมอ จึงพอเป็นของดูได้ ถ้าหากไม่ชำระขัดสีก็จะมีกลิ่นเหม็นสาบ เข้าไกล้ใครก็ไม่ได้ ของทั้งปวงมีผ้าแพร เครื่องใช้ต่างๆ เมื่ออยู่นอกกายของเราก็เป็นของที่สะอาดนน่าดู แต่เมื่อมาถึงกายนี้แล้ว ก็เป็นของสกปรกไป เมื่อปล่อยไว้นานๆ เข้าไม่ซักฟอก ก็จะเข้าไกล้ใครไม่ได้เลย เพราะเหม็นสาบ ดังนี้ จึงได้ความว่า ร่างกายของเรานี้เป็นเรือนมูตร เรือนคูถเป็นอสุภะของไม่งาม ปฏิกูลน่าเกลียด เมื่อยังมีชีวิติอยู่ ก็(เห็น)ถึงปานนี้ เมื่อชีวิตหาไม่แล้วยิ่งจะสกปรกหาอะไรเปรียบมิได้เลย เพราะฉะนั้น พระโยคาวจรเจ้าทั้งหลาย จึงพิจารณาร่างกายอันนี้ให้ชำนิชำนานด้วยโยนิโสมนสิการ ตั้งแต่ต้นมาทีเดียว คือขณะเมื่อยังเห็นไม่ทันชัดเจน ก็พิจารณาส่วนใดส่วนหนึ่งแห่งกายอันเป็นที่สบายแก่จริต จนกระทั่งปรากฎเป็นอุคคหนิมิต คือ ปรากฎส่วนแห่งร่างกายส่วนใดส่วนหนึ่งแล้วก็กำหนดส่วนนั้นให้มาก เจริญให้มาก ทำให้มาก การเจริญทำให้มากนั้น พึงทราบอย่างนี้ อันชาวบ้านทำนาเขาก็ทำที่แผ่นดิน ไถที่แผ่นดิน ดำลงไปในดินปีต่อไปเขาก็ทำที่ดินอีกเช่นเคย
เขาไม่ได้ไปทำในอากาศกลางหาว คงทำแต่ที่แผ่นดินอย่างเดียว ข้าวเขาก็ได้เต็มยุ้งเต็มฉางเอง เมื่อทำให้มากในที่ดินนั้นแล้ว ไม่ต้องเรียกว่า ข้าวเอ๋ยข้าว จงมาเต็มยุ้งฉางเน้อน ข้าวก็จะหลั่งใหลมาเอง และจะห้ามว่า ข้าวเอ๋ยข้าว จงอย่ามาเต็มยุ้งฉางเราหนอ ถ้าทำนาในที่ดินนั่นเองจนสำเร็จแล้วข้าวก็จะมาเต็มยุ้งฉางฉันใดก็ดี พระโยคาวจรเจ้าก็ฉันนั้น คงพิจารณากายในที่เคยพิจารณาอันถูกนิสัยหรือที่ปรากฎมาให้เห็นครั้งแรก อย่าละทิ้งเลยเป็นอันขาด การทำให้มากนั้นมิใช่หมายแต่การเดินจงกรมเท่านั้น ให้สติหรือพิจารณาในที่ทุกสถานในกาลทุกเมื่อ ยืน เดิน นั่ง นอน กิน ดื่ม ทำ คิด พูด ก็ให้มัสติรอบคอบในกายอยู่เสมอ จึงจะชื่อว่าทำให้มาก
เมื่อพิจารณาในร่างกายนั้นจนชัดเจนแล้ว ให้พิจารณาแบ่งส่วน แยกออกเป็นส่วนๆ ตามโยนิโสมนสิการ ตลอดจนกระจายออกเป็นธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม และพิจารณาให้เห็นไปตามนั้นจริงๆ อุบายนี้ตามแต่ตนจะใคร่ครวญออกอุบายตามที่ถูกจริตนิสัยของตน แต่อย่าละทิ้งหลักเดิมที่ตนได้รู้ครั้งแรกนั้นเทียว พระโยคาวจรเจ้าเมื่อพิจารณาในที่นี้พึงเจริญให้มาก ทำให้มาก อย่าพิจารณาครั้งเดียว แล้วปล่อยทิ้งไปตั้งครึ่งเดือน ตั้งเดือนให้พิจารณาก้าวเข้าไป ถอยออกมา เป็นอนุโลมปฏิโลม คือเข้าไปสงบในจิต แล้วถอยออกมาพิจารณากายอย่าพิจารณากายอย่างเดียว หรือสงบที่จิตแต่อย่างเดียว
พระโยคาวจรเจ้าพิจารณาอย่างนี้ชำนาญแล้ว หรือชำนาญอย่างยิ่งแล้ว คราวนี้แลเป็นส่วนที่จะเป็นเองคือ จิตย่อมจะรวมใหญ่ เมื่อรวมพึบลงย่อมปรากฎว่าทุกสิ่งรวมลงเป็นอันเดียวกัน คือหมดทั้งโลกย่อมเป็นธาตุทั้งสิ้น นิมิตจะปรากฎขึ้นพร้อมกันว่า โลกนี้ราบเหมือนหน้ากลอง เพราะมีสภาพเป็นอันเดียวกันไม่ว่าป่าไม้ ภูเขา มนุษย์ สัตว์ แม้ที่สุดตัวของเราก็ต้องลบนราบเป็นที่สุดอย่างเดียวกัน พร้อมกับ "ญาณสัมปยุต คือรู้ขึ้นมาพร้อมกัน"ในที่นี้ ตัดความสนเท่ห์ ในใจได้เลยจึงชื่อว่า "ยถาภูตญาณทัสสนวิปัสนา คือทั้งเห็นทั้งรู้ตามความเป็นจริง"ขั้นนี้เป็นเบิ้องต้นในอันที่จะดำเนินต่อไปไม่ใช่ที่สุด อันพระโคยาวจรเจ้า จะพึงเจริญให้มาก ทำให้มาก จึงจะเป็นไปเพื่อความรู้ยิ่งอีกจนรอบจนชำนาญ เห็นแจ้งชัดว่า สังขารความปรุงแต่งอันเป็นความสมมุติ ว่า โน่นเป็นของเรา นั้นเป็นของเรา เป็นความพร้อมกับญาณสัมปยุตปรากฎพร้อมกัน จึงชื่อว่า วุฎฐานคามินีวิปัสนาทำในที่นี้จนชำนาญเห็นจริงแจ้งประจักษ์พร้อมกับการรวมใหญ่ และญาณสัมปยุตรวมทวนกระแสแก้อนุสัยสมมุติเป็นวิมุติหรือรวมลงเป็นฐีติจิตอันเป็นอยู่อย่างนั้นจนแจ้งระจักษ์ในที่นั้น ด้วยญาณสัมปยุตว่า ขีณา ชาติ ญาณํ โหติดังนี้ ในที่นี้ไม่ใช่สมมุติ ไม่ใช่ของแต่งเอาเดาเอา ไม่ใช่ของอันบุคคลพึงปรารถนาเอาได้ เป็นของที่เกิดเอง เป็นเอง รู้เองโดยส่วนเดียวเท่านั้น เพราะด้วยการปฏิบัติ อันเข้มแข็งไม่ท้อถอย พิจารณาโดยแยบคายด้วยตนเองจึงจะเป็นขึ้นมาเอง ท่านเปรียบเหมือนต้นไม้ต่างๆ มีต้นข้าว เป็นต้น เมื่อบำรุงรักษาต้นมันให้ดีแล้ว ผลคือรวงข้าวไม่ใช่สิ่งอันบุคคลมาปรารถนาเอาแต่รวงข้าว แต่หาได้รักษาต้นข้าวไม่ เป็นผู้เกียจคร้าน จะปรารถนาจนวันตายรวงข้าวก็ไม่มีขึ้นมาให้ฉันใดวิมุตติธรรมก็ฉันนั้นแล มิใช่สิ่งอันบุคคลพึงปรารถนาเอาได้ คนผู้ปรารถนาวิมุตติธรรม แต่ปฏิบัติไม่ถูกหรือไม่ปฏิบัติมัวเกียจคร้านจนวันตาย จะประสบวิมุตติธรรมไม่ได้เลย ด้วยประการฉะนี้
(อาจารย์มั่น ภูริถัตเถร)
ก็รังเกียจ ต้องเททิ้ง กินไม่ได้และร่างกายนี้ต้องชำระเสมอ จึงพอเป็นของดูได้ ถ้าหากไม่ชำระขัดสีก็จะมีกลิ่นเหม็นสาบ เข้าไกล้ใครก็ไม่ได้ ของทั้งปวงมีผ้าแพร เครื่องใช้ต่างๆ เมื่ออยู่นอกกายของเราก็เป็นของที่สะอาดนน่าดู แต่เมื่อมาถึงกายนี้แล้ว ก็เป็นของสกปรกไป เมื่อปล่อยไว้นานๆ เข้าไม่ซักฟอก ก็จะเข้าไกล้ใครไม่ได้เลย เพราะเหม็นสาบ ดังนี้ จึงได้ความว่า ร่างกายของเรานี้เป็นเรือนมูตร เรือนคูถเป็นอสุภะของไม่งาม ปฏิกูลน่าเกลียด เมื่อยังมีชีวิติอยู่ ก็(เห็น)ถึงปานนี้ เมื่อชีวิตหาไม่แล้วยิ่งจะสกปรกหาอะไรเปรียบมิได้เลย เพราะฉะนั้น พระโยคาวจรเจ้าทั้งหลาย จึงพิจารณาร่างกายอันนี้ให้ชำนิชำนานด้วยโยนิโสมนสิการ ตั้งแต่ต้นมาทีเดียว คือขณะเมื่อยังเห็นไม่ทันชัดเจน ก็พิจารณาส่วนใดส่วนหนึ่งแห่งกายอันเป็นที่สบายแก่จริต จนกระทั่งปรากฎเป็นอุคคหนิมิต คือ ปรากฎส่วนแห่งร่างกายส่วนใดส่วนหนึ่งแล้วก็กำหนดส่วนนั้นให้มาก เจริญให้มาก ทำให้มาก การเจริญทำให้มากนั้น พึงทราบอย่างนี้ อันชาวบ้านทำนาเขาก็ทำที่แผ่นดิน ไถที่แผ่นดิน ดำลงไปในดินปีต่อไปเขาก็ทำที่ดินอีกเช่นเคย
เขาไม่ได้ไปทำในอากาศกลางหาว คงทำแต่ที่แผ่นดินอย่างเดียว ข้าวเขาก็ได้เต็มยุ้งเต็มฉางเอง เมื่อทำให้มากในที่ดินนั้นแล้ว ไม่ต้องเรียกว่า ข้าวเอ๋ยข้าว จงมาเต็มยุ้งฉางเน้อน ข้าวก็จะหลั่งใหลมาเอง และจะห้ามว่า ข้าวเอ๋ยข้าว จงอย่ามาเต็มยุ้งฉางเราหนอ ถ้าทำนาในที่ดินนั่นเองจนสำเร็จแล้วข้าวก็จะมาเต็มยุ้งฉางฉันใดก็ดี พระโยคาวจรเจ้าก็ฉันนั้น คงพิจารณากายในที่เคยพิจารณาอันถูกนิสัยหรือที่ปรากฎมาให้เห็นครั้งแรก อย่าละทิ้งเลยเป็นอันขาด การทำให้มากนั้นมิใช่หมายแต่การเดินจงกรมเท่านั้น ให้สติหรือพิจารณาในที่ทุกสถานในกาลทุกเมื่อ ยืน เดิน นั่ง นอน กิน ดื่ม ทำ คิด พูด ก็ให้มัสติรอบคอบในกายอยู่เสมอ จึงจะชื่อว่าทำให้มาก
เมื่อพิจารณาในร่างกายนั้นจนชัดเจนแล้ว ให้พิจารณาแบ่งส่วน แยกออกเป็นส่วนๆ ตามโยนิโสมนสิการ ตลอดจนกระจายออกเป็นธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม และพิจารณาให้เห็นไปตามนั้นจริงๆ อุบายนี้ตามแต่ตนจะใคร่ครวญออกอุบายตามที่ถูกจริตนิสัยของตน แต่อย่าละทิ้งหลักเดิมที่ตนได้รู้ครั้งแรกนั้นเทียว พระโยคาวจรเจ้าเมื่อพิจารณาในที่นี้พึงเจริญให้มาก ทำให้มาก อย่าพิจารณาครั้งเดียว แล้วปล่อยทิ้งไปตั้งครึ่งเดือน ตั้งเดือนให้พิจารณาก้าวเข้าไป ถอยออกมา เป็นอนุโลมปฏิโลม คือเข้าไปสงบในจิต แล้วถอยออกมาพิจารณากายอย่าพิจารณากายอย่างเดียว หรือสงบที่จิตแต่อย่างเดียว
พระโยคาวจรเจ้าพิจารณาอย่างนี้ชำนาญแล้ว หรือชำนาญอย่างยิ่งแล้ว คราวนี้แลเป็นส่วนที่จะเป็นเองคือ จิตย่อมจะรวมใหญ่ เมื่อรวมพึบลงย่อมปรากฎว่าทุกสิ่งรวมลงเป็นอันเดียวกัน คือหมดทั้งโลกย่อมเป็นธาตุทั้งสิ้น นิมิตจะปรากฎขึ้นพร้อมกันว่า โลกนี้ราบเหมือนหน้ากลอง เพราะมีสภาพเป็นอันเดียวกันไม่ว่าป่าไม้ ภูเขา มนุษย์ สัตว์ แม้ที่สุดตัวของเราก็ต้องลบนราบเป็นที่สุดอย่างเดียวกัน พร้อมกับ "ญาณสัมปยุต คือรู้ขึ้นมาพร้อมกัน"ในที่นี้ ตัดความสนเท่ห์ ในใจได้เลยจึงชื่อว่า "ยถาภูตญาณทัสสนวิปัสนา คือทั้งเห็นทั้งรู้ตามความเป็นจริง"ขั้นนี้เป็นเบิ้องต้นในอันที่จะดำเนินต่อไปไม่ใช่ที่สุด อันพระโคยาวจรเจ้า จะพึงเจริญให้มาก ทำให้มาก จึงจะเป็นไปเพื่อความรู้ยิ่งอีกจนรอบจนชำนาญ เห็นแจ้งชัดว่า สังขารความปรุงแต่งอันเป็นความสมมุติ ว่า โน่นเป็นของเรา นั้นเป็นของเรา เป็นความพร้อมกับญาณสัมปยุตปรากฎพร้อมกัน จึงชื่อว่า วุฎฐานคามินีวิปัสนาทำในที่นี้จนชำนาญเห็นจริงแจ้งประจักษ์พร้อมกับการรวมใหญ่ และญาณสัมปยุตรวมทวนกระแสแก้อนุสัยสมมุติเป็นวิมุติหรือรวมลงเป็นฐีติจิตอันเป็นอยู่อย่างนั้นจนแจ้งระจักษ์ในที่นั้น ด้วยญาณสัมปยุตว่า ขีณา ชาติ ญาณํ โหติดังนี้ ในที่นี้ไม่ใช่สมมุติ ไม่ใช่ของแต่งเอาเดาเอา ไม่ใช่ของอันบุคคลพึงปรารถนาเอาได้ เป็นของที่เกิดเอง เป็นเอง รู้เองโดยส่วนเดียวเท่านั้น เพราะด้วยการปฏิบัติ อันเข้มแข็งไม่ท้อถอย พิจารณาโดยแยบคายด้วยตนเองจึงจะเป็นขึ้นมาเอง ท่านเปรียบเหมือนต้นไม้ต่างๆ มีต้นข้าว เป็นต้น เมื่อบำรุงรักษาต้นมันให้ดีแล้ว ผลคือรวงข้าวไม่ใช่สิ่งอันบุคคลมาปรารถนาเอาแต่รวงข้าว แต่หาได้รักษาต้นข้าวไม่ เป็นผู้เกียจคร้าน จะปรารถนาจนวันตายรวงข้าวก็ไม่มีขึ้นมาให้ฉันใดวิมุตติธรรมก็ฉันนั้นแล มิใช่สิ่งอันบุคคลพึงปรารถนาเอาได้ คนผู้ปรารถนาวิมุตติธรรม แต่ปฏิบัติไม่ถูกหรือไม่ปฏิบัติมัวเกียจคร้านจนวันตาย จะประสบวิมุตติธรรมไม่ได้เลย ด้วยประการฉะนี้
↧
More Pages to Explore .....