Quantcast
Channel: ที่ ปรึกษา กฎหมาย ทนายความ สำนักงาน กฎหมาย กฎหมาย ในชีวิตประจำวัน กฎหมายคืออะไร ที่นี่มีคำตอบ
Viewing all 71 articles
Browse latest View live

อ.ย.ไฟเขียวยาปลุกเซ็กซ์

$
0
0
อย.ไฟเขียวให้ร้านขายยาขายยาปลุกเซ็กซ์ตามใบ สั่งแพทย์ หวังชายนกเขาไม่ขัน เข้าถึงยาได้สะดวกขึ้น ลดความเสี่ยงซื้อยาปลอมมาใช้ หลังพบลักลอบขายยาผิดกฎหมายในเว็บไซต์อื้อ
      นพ.พิพัฒน์ ยิ่งเสรี
เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา กล่าวว่า อย.ได้พิจารณาให้ยารักษาอาการหย่อนสมรรถภาพทางเพศสามารถจำหน่ายในร้านขายยา ที่ผ่านหลักเกณฑ์ที่สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยากำหนด เนื่องจากปัจจุบันมีการลักลอบขายยาผิดกฎหมายทั้งยาเถื่อนยาปลอมผ่านทางเว็บ ไซต์ เพื่อเป็นการลดความเสี่ยงอันตรายจากการใช้ยาปลอมและช่วยเพิ่มการเข้าถึงยา ให้แก่ผู้ที่มีความจำเป็นต้องใช้ยา โดยมีการประชุมเพื่อหาแนวทางปฏิบัติที่เหมาะสม เช่น ร้านขายยาที่จะจำหน่ายยาดังกล่าวได้ต้องมีเภสัชกรที่ผ่านการฝึกอบรมทำ หน้าที่จ่ายตามใบสั่งยาของแพทย์ และให้คำปรึกษาแนะนำอย่างใกล้ชิด โดยการจะซื้อยาดังกล่าวจากร้านขายยาได้จะต้องนำใบสั่งแพทย์มาซื้อเท่านั้น

      “ขณะนี้ผู้ที่มีปัญหาอาการหย่อนสมรรถภาพทางเพศเกิดความไม่สะดวกในการรับยา พยายามไปหาซื้อยามา รับประทานเอง เป็นเหยื่อของการโฆษณาและการลักลอบจำหน่ายยาผิดกฎหมายทางเว็บไซต์ ทำให้ผู้บริโภคอาจจะได้รับยาปลอม หรือยาผิดกฎหมายได้ ซึ่งอาจไม่มีตัวยาอยู่หรือมีตัวยาน้อยหรือมากเกินไป มีสารอันตรายที่ปนเปื้อนจากการผลิตที่ไม่ได้มาตรฐาน แต่ที่สำคัญผู้บริโภคไม่ได้รับการดูแลและการให้คำแนะนำที่เหมาะสมจากแพทย์ หรือเภสัชกร จนอาจได้รับอันตรายจากยานั้นได้ โดยเฉพาะผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับหลอดเลือดหัวใจ หรือผู้ป่วยที่กินยาประเภท ไนเตรต(Nitrates) หากกินยากลุ่มนี้เข้าไปจะเสริมฤทธิ์ยา ทำให้ความดันเลือดลดต่ำลงจนเกิดอาการช็อคและเสียชีวิตได้”เลขาฯ อย.กล่าว

      นพ.พิพัฒน์ กล่าวต่อว่า สำหรับยารักษาอาการหย่อนสมรรถภาพทางเพศ ปัจจุบัน อย. อนุญาตให้ขึ้นทะเบียนตำรับยา 3 ตัว คือ 1.ซิ ลเดนา-ฟิล (Sildenafil) โดยมีชื่อทางการค้าจำนวน 3 ยี่ห้อ คือ ไวอะกร้า (Viagra), อีลอนซ่า (Elonza) และ โทนาฟิล(Tonafil) 2.ทาดาลาฟิล (Tadalafil) โดยมีชื่อทางการค้า คือ ซิอะลิส (Cialis) และ 3.วาเดนาฟิล (Vardenafil) โดยมีชื่อทางการค้า คือ เลวิตรา (Levitra) ซึ่งทั้งหมดจัดเป็นยาควบคุมพิเศษที่ต้องมีใบสั่งแพทย์และจำกัดให้จำหน่าย เฉพาะในสถานพยาบาล เท่านั้น



      เลขาฯ อย.กล่าวด้วยว่า ยารักษาอาการหย่อนสมรรถภาพทางเพศ เป็นยาที่มีสรรพคุณใช้รักษาอาการหย่อนสมรรถภาพทางเพศในเพศชาย ที่มีปัญหาการแข็งตัวของอวัยวะเพศ โดยมีการใช้ยาดังกล่าวมาเป็นเวลานานประมาณ 10 ปี ซึ่งที่ผ่านมาพบว่ายาดังกล่าวมีความปลอดภัยในการใช้ยาในระดับที่น่าพอใจ

     ทั้งนี้ การเพิ่มการเข้าถึงยา กลุ่มดังกล่าวในช่องทางที่เหมาะสม จึงเป็นเรื่องที่ควรพิจารณาและเป็นประโยชน์ต่อผู้บริโภคในการเข้าถึงยา โดยมี เภสัชกรเข้ามามีบทบาทให้คำแนะนำเพื่อการใช้ยาอย่างปลอดภัย และเพื่อให้ผู้ที่จำเป็นต้องใช้ยาไม่ต้องตกเป็นเหยื่อในการใช้ยาปลอมหรือยา ผิดกฎหมายอีกต่อไป อย่างไรก็ตาม หากผู้บริโภคพบเห็นเว็บไซต์ที่มีการโฆษณาขายยาดังกล่าว ขอให้โทร.แจ้งสายด่วน อย.1556 เพื่อจะได้ติดตามตรวจสอบและดำเนินการตามกฎหมายต่อไป

อึ้ง! อียิปต์ร่างกฎหมายให้สามีมีเซ็กส์กับศพภรรยาได้

$
0
0
 เมื่อวันที่ 26 เมษายนที่ผ่านมา เว็บไซต์เดลิเมลของอังกฤษ รายงานว่า อียิปต์ร่างกฎหมายสุดแปลก ให้สามีมีเซ็กส์กับศพภรรยาได้ ภายใน 6 ชั่วโมง หลังการเสียชีวิต!!



โดยร่างกฎหมายสุดแปลกนี้ ถูกหยิบยกขึ้นมาพิจารณาเป็นเรื่องเป็นราว หลังจากเมื่อเดือนพฤษภาคมปีที่แล้ว แซมซามิ อับดุล บาริ นักบวชชาวโมรอคโครายหนึ่ง ได้ออกมากล่าวว่า “การสมรสยังมีผลบังคับใช้แม้ว่าอีกฝ่ายจะเสียชีวิตไปแล้วก็ตาม ดังนั้น คู่สมรสจึงสามารถมีเซ็กส์กับศพได้”
หลังการออกมาเปิดเผยของนักบวชคนดังกล่าว ปรากฎว่ามันได้นำมาซึ่งการวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก ถึงความเหมาะสมและไม่เหมาะสมของการมีเซ็กส์กับศพเช่นนี้ และต่อมา ประเด็นนี้ก็ถูกนำขึ้นสู่ที่ประชุมด้านกฎหมายอย่างจริงจัง ก่อนที่จะมีการร่างกฎหมายว่าด้วยการมีเซ็กส์กับคู่สมรสว่า สามีสามารถมีเซ็กส์กับศพภรรยาได้ หลังจากภรรยาเสียชีวิตไปแล้วไม่เกิน 6 ชั่วโมง
จากร่างกฎหมายดังกล่าวนี้ ได้ทำให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ในสังคมอียิปต์อีกครั้ง และสร้างความไม่พอใจให้กับชาวอียิปต์หลาย ๆ คน โดยหนึ่งในนั้น คือนายจาเบอร์ อัล กามูตี พิธีกรรายการโทรทัศน์ชาวอียิปต์ ซึ่งได้ออกมาแสดงความคิดเห็นว่า “นี่ เป็นเรื่องจริงจัง มันเป็นการอนุญาตให้มีเซ็กส์รำลึกการจากไปของภรรยา สภาร่างกฎหมายจะพิจารณาบังคับใช้ร่างกฎหมายนี้จริงหรือ มันไม่น่าเชื่อเลยจริง ๆ แล้วประชาชนจะคิดอย่างไรกับการสนับสนุนการมีเซ็กส์กับศพแบบนี้ กฎอิสลามดำเนินไปอย่างเกินขอบเขตหรือเปล่า”
ส่วน ทางด้านหน่วยงานสภาเพื่อสตรีแห่งอียิปต์ ก็ได้ออกมารณรงค์ต่อต้านร่างกฎหมายนี้เช่นกัน โดยระบุว่าการที่จะอนุญาตให้สามีมีเซ็กส์กับศพภรรยาได้นั้น เป็นการทำลายสถานภาพของสตรีชัด ๆ และทางหน่วยงานจะเดินหน้าคัดค้านต่อไป

ที่มา.http://hilight.kapook.com
 ภาพจาากอินเตอร์เน็ตไม่เกี่ยวกับข่าว

อึ้งเด็กท่องเน็ต 1 ใน 6 มี เซ็กส์ กับคนแปลกหน้า

$
0
0


เผยเด็กท่องเน็ต 1 ใน 6 เคยมีเซ็กส์กับคนแปลกหน้าที่รู้จักทางออนไลน์ ชาย 20.8% หญิง 12.2% เคยประกาศหาคู่ทางอินเทอร์เน็ต ขณะที่เด็กไทยต่ำกว่า 15 ปี กว่า 1 ล้านคน นิยมใส่ที่อยู่-เบอร์โทรศัพท์ในเว็บไซต์ มิจฉาชีพฉวยช่องลวงฆ่า ข่มขืน ลักพาตัว รุกใช้ พ.ร.บ.คุ้มครองเด็กห้ามโฆษณาเผยแพร่ข้อมูลเด็ก 


การเพิ่มขึ้นของปัญหาเด็กถูกล่อลวงทางอินเทอร์เน็ต ส่งผลให้หลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องร่วมมือกันแก้ไขโดยเร่งด่วน ล่าสุดเมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน ที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ คณะอนุกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนตัวของเด็กบนระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ จัดเวทีเสวนาเรื่อง “ผู้ร้ายล่อลวงเด็ก : ภัยจากการเปิดเผยข้อมูลส่วนตัวของเด็กบนโลกออนไลน์"
ทั้งนี้เพื่อรับฟังความเห็นของทุกฝ่ายถึงมาตรการคุ้มครองข้อมูลเด็กบนโลก ออนไลน์ ทั้งมาตรการทางกฎหมายและมาตรการทางสังคม เพื่อให้เกิดความร่วมมือจากทุกฝ่ายในการคุ้มครองสวัสดิภาพของเด็ก ไม่ให้ตกเป็นเหยื่ออาชญากรที่หาประโยชน์ทางอินเทอร์เน็ต โดยมี นพ.พลเดช ปิ่นประทีป รมช.การพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เป็นประธาน พร้อมด้วยผู้ประกอบการด้านเว็บไซต์ หน่วยราชการ ภาคเอกชนที่เกี่ยวข้อง และผู้สนใจเข้าร่วมประมาณ 50 คน


นพ.พลเดช กล่าวว่า ปัจจุบันผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตจำนวนมากเป็นเด็กและเยาวชน และนิยมใช้บริการเว็บไซต์ที่มีลักษณะเป็นชุมชน เช่น เว็บไซต์หาเพื่อน โพสต์ภาพ สนทนาบนเว็บบอร์ด ซึ่งการใช้บริการเว็บไซต์ลักษณะดังกล่าว ต้องกรอกข้อมูลส่วนตัว เช่น ชื่อ ที่อยู่ เบอร์โทรศัพท์ อีเมล เพื่อสมัครใช้บริการ และเพื่อประโยชน์ในการใช้บริการ ขณะที่ผู้ให้บริการเว็บไซต์สามารถนำข้อมูลส่วนตัวของเด็กมาเปิดเผยจนนำไปสู่ ปัญหาร้ายแรง โดยเฉพาะมิจฉาชีพใช้ข้อมูลที่เด็กเปิดเผยเข้าถึงตัวเด็กเพื่อล่อลวง และนำไปสู่การลักพาตัว ชิงทรัพย์ ข่มขู่ ข่มขืน หรือฆาตกรรม
จากการสำรวจของเอแบคโพลล์ พบว่า เด็กกว่า 80% ที่เล่นอินเทอร์เน็ตเคยสนทนาออนไลน์กับคนแปลกหน้าที่ไม่เคยเห็นหน้ากันมา ก่อน โดยส่วนใหญ่เริ่มจากการที่คู่สนทนาเข้าถึงข้อมูลส่วนตัวของเด็ก เช่น อีเมล เบอร์โทรศัพท์ และ 70% นำไปสู่การพบปะกัน ที่น่าห่วงคือ เด็กหนึ่งในหกคนที่เล่นอินเทอร์เน็ตเคยมีเพศสัมพันธ์กับคนแปลกหน้าที่รู้จัก ทางออนไลน์ ทั้งเต็มใจและไม่เต็มใจ
น.ส.ชฎามาศ ธุระเศรษฐกุล รองผู้อำนวยการศูนย์คอมพิวเตอร์และอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ หรือเนคเทค กล่าวว่า เด็กอายุต่ำกว่า 15 ปี กว่า 1 ล้านคน นิยมโพสต์ภาพ และสนทนากับคนแปลกหน้าผ่านอินเทอร์เน็ต และ 31% เคยนัดเจอกับคนแปลกหน้าที่แชทกันในอินเทอร์เน็ต โดยเว็บไซต์ที่เด็กนิยมเข้าไปสนทนามากที่สุด คือ เว็บยูทูบ ไฮไฟ เอ็มเอสเอ็น มายสเปซ และเฟสบุ๊ค เป็นต้น ซึ่งเด็กจะต้องกรอกข้อมูลชื่อ ที่อยู่ และเบอร์โทรศัพท์ ทำให้มิจฉาชีพสามารถค้นหาและเลือกเด็กผู้หญิงจากอายุหน้าตาตามที่ต้องการได้ โดยคณะอนุกรรมการจะนำ พ.ร.บ.คุ้มครองเด็กแห่งชาติ พ.ศ.2546 มาตรา 27 ระบุห้ามมิให้ผู้ใดโฆษณาหรือเผยแพร่ทางสื่อมวลชนหรือสารสนเทศประเภทใด ซึ่งเกี่ยวข้องกับข้อมูลเด็ก โดยเจตนาที่ทำเพื่อให้เกิดความเสียหาย มาเป็นเครื่องมือช่วยคุ้มครองเด็ก ซึ่งเชื่อว่าจะได้ผลอย่างมาก
นายปรเมศวร์ มินศิริ นายกสมาคมผู้ดูแลเว็บไทย กล่าวว่า ประเทศไทยแม้จะมีบางเว็บไซต์ที่เริ่มห้ามเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี เปิดเผยข้อมูลส่วนตัว แต่ยังมีบางเว็บที่ยังไม่ให้ความร่วมมือ เพราะมองว่าข้อมูลเหล่านี้สามารถขายได้ เด็กจึงถูกใช้เป็นเครื่องมือ และพบว่า ในการค้นหาข้อมูลทางเว็บไซต์ คำที่นิยมใช้มากที่สุดคือ “หาเพื่อน” “หาคู่” และตามด้วยจำนวนอายุที่ยังน้อยๆ ทำให้นำมาสู่การล่อลวงเด็กได้ง่าย ดังนั้น ผู้ประกอบการเว็บไซต์จึงควรให้ความร่วมมือด้วยการไม่เปิดเผยข้อมูลส่วนตัว ของเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี เช่น ที่อยู่ เบอร์โทรศัพท์
ขณะที่ นายนพดล กรรณิการ์ ผู้อำนวยการสำนักวิจัยเอแบคโพลล์ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ กล่าวว่า สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ร่วมกับสำนักวิจัยเอแบคโพลล์ ดำเนินการสำรวจ “พฤติกรรมและผลกระทบของการใช้อินเทอร์เน็ตจากกลุ่มเยาวชน : กรณีศึกษาประชาชนทั่วไปอายุ 15-24 ปี ในเขตกรุงเทพมหานคร” ระหว่างวันที่ 15-17 ตุลาคม 2550 พบว่า เด็กและเยาวชนถึง 65.4% เคยใช้บริการออนไลน์หรือเว็บไซต์ที่ต้องสมัครสมาชิกและกรอกข้อมูลส่วนตัว เช่น ชื่อ เพศ ที่อยู่ และเบอร์โทรศัพท์ และ 33.6% ของจำนวนที่กรอกข้อมูลในเว็บไซต์เคยถูกบุคคลที่ไม่รู้จักติดต่อเข้าถึงตัว ผ่านทางโทรศัพท์และอีเมล ซึ่งมีทั้งการพูดคุยธรรมดา ชักชวนออกไปพบกัน และใช้คำพูดลวนลามเรื่องเพศ
โดยเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้น เมื่อมีบุคคลที่ไม่รู้จักติดต่อเข้าถึงตัว พบว่า ก่อให้เกิดความไม่สบายใจ 30.4% ถูกลวนลาม 21.4% และถูกข่มขืน หรือทำร้ายร่างกาย 8.9% ทั้งนี้ความเห็นของเยาวชนต่อการเปิดเผยข้อมูลส่วนตัวทางเว็บไซต์ 44.5% เห็นว่าไม่ควรเปิดเผยเลย และ 25.9% เห็นว่าทำได้ แต่ควรเปิดเผยเฉพาะข้อมูลบางส่วน ส่วนความเห็นเกี่ยวกับการสนทนาออนไลน์ พบว่า วัยรุ่นส่วนใหญ่ 83.8% เคยพูดคุยผ่านทางโปรแกรมสนทนา และ 80.4% เคยพูดคุยกับคนแปลกหน้า
นอกจากนี้ ในกลุ่มวัยรุ่นชาย 38.8% เคยนัดพบคนที่รู้จักทางอินเทอร์เน็ต ขณะที่กลุ่มวัยรุ่นหญิง 22.4% เคยนัดพบคนที่รู้จักทางอินเทอร์เน็ต และพบว่าในกลุ่มวัยรุ่นชาย 26.6% เคยมีเพศสัมพันธ์กับคนที่รู้จักทางอินเทอร์เน็ต กลุ่มวัยรุ่นหญิง 8.2% เคยมีเพศสัมพันธ์กับคนที่รู้จักทางอินเทอร์เน็ต และ 59.4% ของวัยรุ่นหญิง ไม่เต็มใจต่อการมีเพศสัมพันธ์กับคนที่รู้จักทางอินเทอร์เน็ต และวัยรุ่นชาย 20.8% กลุ่มวัยรุ่นเพศหญิง 12.2% เคยประกาศหาคู่ทางอินเทอร์เน็ต โดยเยาวชนส่วนใหญ่ 60.1% เห็นว่าแนวโน้มความรุนแรงของอาชญากรรมทางโลกออนไลน์ในอนาคตเพิ่มขึ้น
นายนพดล กล่าวอีกว่า เด็กส่วนใหญ่มีจุดประสงค์ของการใช้อินเทอร์เน็ตเพื่อค้นหาข้อมูลความรู้ 88.2% เล่นเกมออนไลน์ 68.1% ดาวน์โหลดเพลง/ภาพยนตร์ 65.1% และใช้บริการจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ 57.9% ระยะเวลาการใช้อินเทอร์เน็ตน้อยกว่า 1 ชั่วโมงต่อวัน 13.6% ระหว่าง 1-2 ชั่วโมง 23.9% ระหว่าง 2-3 ชั่วโมง 20.3% ระหว่าง 3-4 ชั่วโมง 12.6% ระหว่าง 4-5 ชั่วโมง 12% และ 5 ชั่วโมงขึ้นไป จากการจัดอันดับเว็บไซต์ที่เด็กเข้าชมบ่อยที่สุด 5 ลำดับแรก คือ 1.กูเกิล 30.8% 2.สนุกดอทคอม 11.3% 3.ฮอทเมลดอทคอม 9.9% 4.กระปุกดอทคอม 5.9% และ 5.ไฮไฟ 3.9%
ส่วนความคิดเห็นเกี่ยวกับสื่อลามกอันตรายบนอินเทอร์เน็ต เด็กและเยาวชนจำนวน 53.2% เคยดูสื่อลามกทางอินเทอร์เน็ต ขณะที่ 46.8% ไม่เคยดูสื่อลามก นอกจากนี้ยังพบว่า 63.7% ของผู้ที่เคยดูสื่อลามกในอินเทอร์เน็ตเคยใช้บริการดาวน์โหลดภาพ/วิดีโอโป๊ ถึง 63.7% เล่นเกมผ่านเว็บโป๊ 15.7% และใช้บริการขอรับภาพ/วิดีโอผ่านอีเมล 13.9% โดยส่วนใหญ่เห็นว่าภาพโป๊/วิดีโอโป๊เปลือยทำให้เกิดปัญหาอาชญากรรมทางเพศ เช่น ข่มขืน อนาจาร 81.4% ทำให้วัยรุ่นหมกมุ่นเรื่องเซ็กส์ 77.4% และทำให้มีการละเมิดสิทธิส่วนบุคคล และเกิดการเลียนแบบ 76.5%
นายนพดล กล่าวอีกด้วยว่า จากการสำรวจพฤติกรรมการเล่นเกมออนไลน์ พบว่า 64.2% เคยเล่นเกมออนไลน์ในรอบ 1 เดือนที่ผ่านมา และ 35.8% ไม่เคยเล่น สำหรับเนื้อหาสาระของเกมออนไลน์ที่ชอบเล่น 10 ลำดับแรกคือ 1.เกมต่อสู้ เช่น ยิงปืน ฟัน เตะ ต่อย 60.9% 2.เกมแฟนตาซี 36.8% 3.เกมยิงตำรวจ 35.4% 4.เกมแข่งขันกีฬา เช่น ฟุตบอล เทนนิส 28.8% 5.เกมเปลื้องผ้า 15.2% 6.เกมสะสมของ 13.1% 7.เกมลับสมอง 12.9% 8.เกมฝึกทักษะ เช่น ภาษา พิมพ์ดีด 10.3% 9.เกมดักฉุดหญิงสาว 4.5% และ 10.อื่นๆ 2.5%
ที่มา : คม ชัด ลึก

สภาทนาย(Lawyer Concil of ThaiLand)เตียมฟ้องศาล รธน. กรณี กม.เด็ก ให้ศาลเยาวชนบังคับอบรมทนาย

$
0
0

เมื่อเวลา 14.45 น.วันที่ 8 มี.ค.นายสรัญชา ศรีชลวัฒนา เลขาธิการสภาทนายความเผยว่าจากกรณีทนายความทั่วประเทศไม่เห็นด้วยกับกฎหมายพ.ร.บ.ศาลเยาวชนและครอบครัวพ.ศ.2553มาตรา120 ถึง123 ที่บัญญัติให้ศาลเยาวชนต้องจัดอบรม”ที่ปรึกษากฎหมาย”เพื่อทำหน้าที่อย่างทนายความในการดำเนินคดีเยาวชนและครอบครัว โดยหากทนายคนใดไม่มีใบอนุญาตเป็น”ที่ปรึกษากฎหมาย”ก็จะหมดสิทธิ์ว่าความนั้น บัดนี้ทนายความทั่วประเทศได้เข้าชื่อคัดค้านกฎหมายดังกล่าวส่งให้ประธานสภาทนายความจังหวัด จากที่ว่าความประจำศาลทั่วประเทศ108แห่ง มายังนายสัก กอแสงเรือง นายกสภาทนายความ เพื่อหามาตรการ ซึ่งสภาทนายความ นัดประธานทนายความจังหวัด มาพบกันเพื่อหารือว่า จะนำเรื่องนี้ฟ้องศาลรัฐธรรมนูญหรือศาลปกครองหรือจะประนอมความกับศาลต่อไป ในวันอาทิตย์ที่10มี.ค.นี้ที่สภาทนายความ



นายสรัญชา กล่าวว่า เป็นมติของทนายความส่วนใหญ่ ให้ฟ้องศาลรัฐธรรมนูญ ว่า บทบัญญัติดังกล่าวขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญในเรื่องการลิดรอนสิทธิเสรีภาพของทนายความ และฟ้องศาลปกครองว่า เป็นคำสั่งที่ออกมาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งสภาทนายความจะหารือว่า เป็นไปตามที่ทนายความต้องการให้ฟ้องหรือไม่เพราะเป็นปัญหาข้อกฎหมาย บางทีอาจจะใช้วิธีเจรจาประนอมความกันก่อน เพราะก่อนหน้านี้เคยพบกับประธานศาลฎีกาและอธิบดีศาลเยาวชนและครอบครัวกลางแล้ว แต่ยังไม่มีความคืบหน้า ทนายความรอไม่ได้ เพราะกฎหมายนี้จะบังคับใช้ในวันที่23พ.ค.นี้แล้ว


“ทนายความทั่วประเทศมีความไม่สบายใจ ที่กฎหมายมาตรานี้ออกมา เพราะจะกลายเป็นการสร้างบรรทัดฐานกลายเป็นว่า ต่อไปนี้ทนายความ ต้องมีใบอนุญาตหลายใบคือ จะมีใบอนุญาตออกโดยสภาทนายความ1ใบ และใบอนุญาตของศาลเยาวชนอีก1ใบ ต่อไปวันหน้าหากศาลภาษีอากรกลาง ศาลแรงงาน ศาลล้มละลาย จะออกกฎหมายแบบนี้บ้าง ทนายความก็ต้องมีใบอนุญาตอีก3ใบ ทำให้ไม่มีเอกภาพ”นายสรัญชากล่าว


ผู้สื่อข่าวถามว่า ไปทะเลาะกับศาลไม่กลัวหรือ นายสรัญชากล่าวว่า ไม่ได้ทะเลาะแต่ถามหาความถูกต้อง มันเดือดร้อนแก่ผู้ประกอบวิชาชีพ ที่ต้องเสียค่าอบรม1พันบาท เสียค่าเดินทาง เพราะเปิดอบรมใน3-4จังหวัด เสียเวลาทำมาหากิน อีกอย่างหากเด็กที่เป็นตัวความต้องการทนายความคนนั้นคนนี้ที่ตัวเองไว้วางใจหากทนายไม่มีใบอนุญาตดังกล่าวก็ว่าความให้เขาไม่ได้ก็เป็นการลิดรอนสิทธิเด็กด้วยหรือไม่ เรายังไม่มีมาตรการแน่ชัดว่าจะฟ้องหรือเจรจา จึงขอให้รอมติวันที่ 10 มี.ค.ถ้าจะฟ้องก็จะระดมสมองกันว่าจะร่างฟ้องอย่างไร ให้คนกลางคือศาลรัฐธรรมนูญหรือศาลปกครองตัดสิน หาข้อยุติ

ที่มา:http://www.matichon.co.th 

 ต่อมาเมื่อวันที่ 13 มีนาคม 2556
มติสภาทนายความ ค้านศาลเยาวชนฯ ห้ามทนายความอบรมเป็นที่ปรึกษากฎหมาย อ้างขัดรัฐธรรมนูญ ทนายความคนใดไม่ปฏิบัติตามมติ ถือว่าไม่รักษาเกียรติ,ให้ถอนตัว ขอเงินค่าอบรมคืน กก.บริหารชุดใหญ่เตรียมประชุมอีก 13 มี.ค.

ที่สภาทนาย ความ ถนนราชดำเนิน เมื่อเวลา 08.00 น. วันนี้(10 มี.ค.) นายสัก กอแสงเรือง นายกสภาทนายความ นายสรัญชา ศรีชลวัฒนา เลขาธิการสภาทนายความ ได้เชิญประชุมกรรมการบริหารสภาทนายความ ประธานสภาทนายความจังหวัดต่างๆ โดยมีผู้เข้าร่วมประมาณ 50 คน เพื่อพิจารณาแก้ไขปัญหาอุปสรรคผลกระทบต่อวิชาชีพทนายความ กรณีที่ทนายความทั่วประเทศไม่เห็นด้วยกับกฎหมาย พ.ร.บ.ศาลเยาวชนและครอบครัวกลาง พ.ศ.2553 มาตรา120 ถึง123 ที่บัญญัติให้ศาลเยาวชนฯต้องจัดอบรม “ที่ปรึกษากฎหมาย”เพื่อทำหน้าที่ทนายความในการดำเนินคดีเยาวชนและครอบครัว โดยหากทนายความคนใดไม่มีใบอนุญาตเป็น “ที่ปรึกษากฎหมาย”ก็จะไม่ได้รับสิทธิ์ว่าความคดีเยาวชน โดยที่ประชุมได้ข้อสรุปและมีมติเป็นเอกฉันท์ ดังนี้
1. พ.ร.บ.ศาลเยาวชนและครอบครัวกลางและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ. 2553 มาตรา 120 – 122 และมาตรา 124 และข้อบังคับประธานศาลฎีกาว่าด้วยการอบรม ระเบียบปฏิบัติของที่ปรึกษากฎหมาย การจดแจ้งและลบชื่อออกจากบัญชี พ.ศ. 2556 เป็นกฎหมาย กฎ ระเบียบ คำสั่ง ที่ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550  ,พ.ร.บ.ทนายความ พ.ศ. 2528 มาตรา 7 (3), (5) มาตรา 76 มาตรา 78 มาตรา 79 ระบุกรณีสมาชิกสภาทนายความไม่ปฏิบัติตามมติถือว่าเป็นการกระทำที่ไม่เป็นการ ส่งเสริมความสามัคคีและผดุงเกียรติของสมาชิกสภาทนายความ เป็นการเสื่อมเสียต่อศักดิ์ศรีและเกียรติภูมิของทนายความ ซึ่งการปฏิบัติตามคำสั่งตามกฎหมายและข้อบังคับ ทนายความจะต้องปฏิบัติตนอย่างเคร่งครัดเพื่อให้เป็นไปตามคำสั่ง มติ ของที่ประชุมประธานสภาทนายความจังหวัด 108 ศาลจังหวัดทั่วราชอาณาจักร ตามอำนาจหน้าที่ซึ่งมีอยู่ตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย
2. ที่ประชุมมีมติให้สมาชิกสภาทนายความดำเนินการตามมติของที่ประชุมประธานสภา ทนายความจังหวัด 108 ศาลจังหวัดทั่วราชอาณาจักร เมื่อวันที่ 3 มี.ค. 2556 โดยไม่เข้าร่วมรับการอบรมที่ปรึกษากฎหมายตามที่ศาลเยาวชนและครอบครัวกลางได้ ดำเนินการจัดอบรม กรณีสมาชิกสภาทนายความที่สมัครเข้าอบรมหรือได้รับการอบรมแล้วให้ดำเนินการ ถอนชื่อออกจากการอบรมฯ พร้อมขอคืนหลักฐานการสมัครและขอเงินค่าลงทะเบียน จำนวน 1,000 บาท คืน หากมีข้อขัดข้องไม่สามารถรับเงินค่าธรรมเนียมคืนจากศาลได้ให้แจ้งต่อประธาน สภาทนายความจังหวัด หรือสภาทนายความ เพื่อดำเนินการต่อไป
3. มาตรการสภาพบังคับ ในการดำเนินการตามกฎหมายของมติที่ประชุมประธานสภาทนายความจังหวัด 108 ศาลจังหวัดทั่วราชอาณาจักร เมื่อวันที่ 3 มี.ค. 2556 ให้นำเสนอที่ประชุมคณะกรรมการบริหารสภาทนายความเพื่อพิจารณา ในการประชุมครั้งพิเศษที่ 1/2556ในวันที่ 13 มี.ค.นี้ เวลา 17.00 น. และ
4. การประชาสัมพันธ์ ชี้แจงถึงปัญหาอุปสรรคที่เกิดขึ้น และผลกระทบที่เกิดต่อวิชาชีพทนายความและสิทธิของประชาชนโดยเฉพาะเด็กและ เยาวชนผู้ถูกกล่าวหา กระทำความผิดอาญาตามที่กฎหมายรัฐธรรมนูญรับรองไว้นั้น ให้ประธานสภาทนายความแต่ละจังหวัดเผยแพร่ ประชาสัมพันธ์ ชี้แจงต่อสาธารณชนผ่านสื่อมวลชนทุกแขนงในแต่ละจังหวัดพร้อมควบคู่กับการ ดำเนินการของสภาทนายความโดยมติดังกล่าวข้างต้น จะแจ้งให้ประธานสภาทนายความจังหวัดทั่วประเทศทราบและปฏิบัติให้เป็นไปในทิศ ทางเดียวกันต่อไป
ด้าน นายสรัญชา  ศรีชลวัฒนา เลขาสภาทนายความ กล่าวว่า ที่ประชุมมีมติสอดคล้องกันว่าให้ออกแถลงการณ์ รวม 4 ข้อ คือ 1 เห็นว่า พ.ร.บ.ศาลเยาวชนฯ และข้อบังคับของประธานศาลฎีกาว่าด้วยการดำเนินคดีเยาวชนขัดต่อรัฐธรรมนูญ 2 กรณีทนายความที่ไม่ปฏิบัติตามมติของคณะกรรมการถือว่าไม่ส่งเสริมวิชาชีพทนาย ความ ไม่ส่งเสริมความสามัคคีทำให้เสื่อมเสียศักดิ์ศรีวิชาชีพทนายความ และจะมีการประชุมวันที่ 13 มี.ค, เพื่อพิจารณาลงโทษทนายความที่ฝ่าฝืน 3 มีมติให้ทนายความที่เข้าอบรมแล้วไปถอนชื่อ เรียกหลักฐานและเงินคืนทั้งหมด ส่วนทนายความที่กำลังจะเข้าอบรมให้ถอนตัวและเรียกเงินคืน และให้รอฟังคำสั่งจากประธานสภาทนายความจังหวัด และ 4 ให้ประธานสภาทนายความจังหวัดทำความเข้าใจกับสื่อมวลชนและทนายความทั่วประเทศ ให้ทราบถึงเหตุผลและความจำเป็นในการคัดค้านกฎหมายฉบับนี้
ส่วนการ ฟ้องคดีไม่ใช่ทางออกสุดท้าย สภาทนายจะขอเจรจากับอธิบดีผู้พิพากษาศาลเยาวชนฯอีกครั้งเพราะถือว่าเป็น เรื่องทนายความถูกริดรอนสิทธิ ที่ผ่านมาเคยไปพบ อธิบดีผู้พิพากษาศาลเยาวชนฯ แล้วท่านบอกว่า ขอหารือกับผู้ใหญ่ก่อน แต่ความจริงอธิบดีผู้พิพากษาศาลเยาวชนฯใหญ่ที่สุดแล้วในเรื่องนี้
ผู้ สื่อข่าวรายงานว่า วันเดียวกันนี้นายจิรนิติ หะวานนท์ อธิบดีผู้พิพากษาศาลเยาวชนและครอบครัว กลาง ได้เป็นประธานเปิดอบรมทนายความเพื่อทำหน้าที่ที่ปรึกษากฎหมาย ในศาลเยาวชนฯ ที่ห้องประชุมสาขาวิชานิติศาสตร์ มรภ.นครราชสีมา โดยมีทนายความเข้าร่วมอบรมประมาณ 180 คน
โดยนายจิรนิติ กล่าวว่า มีทนายความเข้าร่วมการอบรมเกินครึ่ง บางคนมาลงทะเบียนเป็นที่ปรึกษาในศาลยาวชนฯ จ.นครราชสีมาแล้ว ยังขอลงทะเบียนเป็นที่ปรึกษาว่าความในศาลเยาวชนจังหวัดอื่นด้วย ส่วนที่ผู้บริหารสภาทนายความจะมาพบตน คงไม่สามารถห้ามได้  และตนไม่สามารถหยุดกฎหมายได้เพราะตนก็ต้องทำตามกฎหมาย ถ้าจะค้านกฎหมายต้องไปค้านสภาหรือช่องทางอื่น โดยสัปดาห์หน้าจะไปจัดอบรมทนายความที่ จ.เชียงใหม่และที่เนติบัณฑิตยสภา กรุงเทพฯ คาดว่าจะมีทนายความเข้าอบรมทั้งสิ้นประมาณ 2,000 คน.

คดีอาญาเลิกกันตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา

$
0
0
คดีอาญาเลิกกันตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาได้บัญญัติเกี่ยวกับการเลิกกันของคดีอาญาไว้ ดังมาตรา 37 นี้ครับ
1) ในคดีอาญาที่มีโทษปรับสถานเดียว เมื่อผู้กระทำความผิดยินยอมเสียค่าปรับ ในอัตราอย่างสูงสำหรับความผิดนั้นแก่พนักงานเจ้าหน้าที่ก่อนศาลพิจารณา

2) ในคดีความผิดที่เป็นลหุโทษหรือความผิดที่มีอัตราโทษไม่สูงกว่าความผิดลหุโทษหรือคดีอื่นๆ ที่มีโทษปรับสถานเดียว อย่างสูงไม่เกิน 10,000 บาท หรือความผิดต่อกฎหมายที่เกี่ยวกับภาษีอากรซึ่งมีโทษปรับอย่างสูงไม่เกิน 10,000 บาทเมื่อผู้ต้องหาชำระค่าปรับตามที่พนักงานสอบสวนได้ทำการเปรียบเทียบเเล้ว

3) ในคดีความผิดที่เป็นลหุโทษ หรือความผิดที่มีอัตราโทษ ไม่สูงกว่าความผิดลหุโทษ หรือคดีที่มีโทษปรับสถานเดียวอย่างสูง ไม่เกินหนึ่งหมื่นบาทซึ่งเกิดในกรุงเทพมหานคร เมื่อผู้ต้องหาชำระ ค่าปรับตามที่นายตำรวจประจำท้องที่ตั้งแต่ตำแหน่งสารวัตรขึ้นไป หรือนายตำรวจชั้นสัญญาบัตรผู้ทำการในตำแหน่งนั้น ๆ ได้เปรียบ เทียบแล้ว

4) ในคดีซึ่งเปรียบเทียบได้ตามกฎหมายอื่น เมื่อผู้ต้องหาได้ ชำระค่าปรับตามคำเปรียบเทียบของพนักงานเจ้าหน้าที่แล้ว

คำพิพากษาฎีกาที่เกี่ยวข้อง
1.การที่จำเลยยอมรับต่อพนักงานสอบสวนในคดีอาญาว่าตนขับรถยนต์ประมาทชนรถยนต์คันที่ ว. ขับและยอมให้พนักงานสอบสวนเปรียบเทียบปรับ มีผลเพียงทำให้คดีอาญาเลิกกัน ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 37 แต่การเปรียบเทียบปรับไม่ใช่คำพิพากษาส่วนอาญา การพิพากษาคดีส่วนแพ่งจึงไม่ต้องถือตาม (ฎีกาที่ 176/2532)

2.โจทก์ทั้งสองเมาสุราจนครองสติไม่ได้ ประพฤติตนวุ่นวายในทางสาธารณะหรือสารณะสถาน แต่โจทก์ทั้งสองได้ชำระค่าปรับตามที่พนักงานสอบสวนได้เปรียบเทียบปรับแล้ว ทำให้คดีอาญาที่โจทก์ทั้งสองถูกกล่าวหาเป็นอันเลิกกันตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 37(2) (ฎีกาที่ 7630/2549)

3.คดีที่พนักงานอัยการโจทก์บรรยายฟ้องว่าได้มีการสอบสวนแล้วย่อมสันนิษฐานได้ ว่า มีการสอบสวนชอบด้วย กฎหมายแล้วเมื่อจำเลยไม่คัดค้านโดยเสนอหรือนำสืบเป็นข้อต่อสู้ไว้ ถือว่าไม่มีข้อโต้เถียงกัน หากตามสำนวนไม่มีข้อเท็จจริงที่แสดงว่าการสอบสวนนั้นไม่ชอบ จำเลยเพิ่งมาคัดค้านขึ้นในชั้นอุทธรณ์ ย่อมไม่มีเหตุที่จะวินิจฉัยให้กรณีถือได้ว่ามีการสอบสวนในความผิดที่กล่าวหาตามฟ้องแล้วแม้ศาลอุทธรณ์ยังมิได้วินิจฉัยปัญหาข้อเท็จจริงตามอุทธรณ์ของจำเลย เมื่อโจทก์จำเลยได้นำสืบพยานมาจนสิ้นกระแสความแล้ว ศาลฎีกาก็มีอำนาจวินิจฉัยปัญหาข้อเท็จจริงดังกล่าวไปได้เองโดย ไม่ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยชี้ขาดก่อน แม้ อ. จะเคยถูก ฟ้องร่วมกับจำเลยมาก่อน แต่ ศาลได้ สั่งแยกฟ้องจำเลยเป็นคดีใหม่ต่างหากจากคดีที่ อ. ถูกฟ้องร่วมกับจำเลย โจทก์จึงอ้าง อ. เป็นพยานได้โดยขณะที่ อ. เบิกความเป็นพยานโจทก์ในคดีนี้ อ. มิได้อยู่ในฐานะ เป็นจำเลย การกระทำของจำเลยเป็นการกระทำผิดกรรมเดียวผิดต่อ กฎหมายหลายบทคือเป็นความผิดตาม พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 56,61 และประมวลกฎหมายอาญามาตรา 390ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 90 ให้ใช้ กฎหมายบทที่หนักที่สุดลงโทษพนักงานสอบสวนไม่มีอำนาจเปรียบเทียบปรับจำเลยในความผิดที่มีโทษเบากว่า เพื่อให้ความผิดทุกกรรมรวมทั้งความผิดที่มีโทษหนักกว่าเลิกกัน ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 37 ได้ ดังนั้น แม้พนักงานสอบสวนจะเปรียบเทียบปรับจำเลยไปแล้วตาม พระราชบัญญัติจราจรทางบกพ.ศ. 2522 มาตรา 61 ซึ่ง เป็นความผิดบทเบาที่สุด การเปรียบเทียบนั้นก็ไม่ชอบ คดีไม่เลิกกันตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 37 ศาลฎีกามีอำนาจวินิจฉัยปรับบทลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 390 ซึ่ง เป็นบทที่หนักที่สุดให้ถูกต้องได้(ฎีกา  1513/2532)

4. การที่ศาลจะมีคำสั่งจำหน่ายคดีอาญาได้ คือ คดีอาญาเลิกกันตาม ป.วิ.อ. มาตรา 37 กรณีหนึ่ง คดีเลิกกันตามพ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ.2534 มาตรา 7 กรณีหนึ่ง และสิทธินำคดีอาญามาฟ้องระงับไปตาม ป.วิ.อ. มาตรา 39 อีกกรณีหนึ่ง ดังนั้น แม้จำเลยถูกศาลสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดและโจทก์คดีนี้ได้ยื่นคำร้องขอรับชำระหนี้ในคดีล้มละลาย ก็เป็นกรณีที่โจทก์ไปดำเนินการใช้สิทธิเรียกร้องทางแพ่งในคดีล้มละลาย บทบัญญัติตาม พ.ร.บ. ล้มละลายฯ มาตรา 25 ไม่เกี่ยวกับกรณีคดีอาญาเลิกกันหรือสิทธินำคดีอาญามาฟ้องระงับไปแต่อย่างใด จำเลยจะขอให้ศาลจำหน่ายคดีนี้หาได้ไม่ จำเลยออกเช็ค 2 ฉบับ เมื่อธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินเช็คแต่ละฉบับ โจทก์นำคดีมาฟ้องโดยแยกฟ้องเป็น 2 สำนวน โดยแต่ละสำนวนโจทก์ไม่ได้ขอให้นับโทษของจำเลยต่อจึงนับโทษต่อกันไม่ได้ เพราะเป็นการพิพากษาเกินคำขอ ซึ่งเป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดยกขึ้นอ้าง ศาลฎีกาก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้(ฎีกาที่ 184-185/2542)

5.พระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ . 2534 มาตรา 7


จำเลยสั่งจ่ายเช็คทั้งสามฉบับตามฟ้องชำระหนี้ค่าจ้างพิมพ์หนังสือแก่โจทก์ เมื่อเช็คถึงกำหนดโจทก์นำเช็คดังกล่าวไปเข้าบัญชีของโจทก์เพื่อเรียกเก็บเงินธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงินทั้งสามฉบับ การที่ต่อมาโจทก์และจำเลยทำหนังสือผ่อนชำระหนี้กัน โดยข้อตกลงระหว่างโจทก์กับจำเลยระบุว่า จำเลยเป็นหนี้โจทก์โดยจะขอผ่อนชำระหนี้ให้โจทก์ไปจนครบรวม 10 งวด โจทก์จึงจะถือว่าเป็นการระงับคดีอาญา ข้อความดังกล่าวเป็นข้อตกลงในการผ่อนชำระหนี้ตามเช็คเท่านั้น มิใช่เป็นการเปลี่ยนสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญแห่งหนี้ หนี้เดิมจึงยังคงมีอยู่ ส่วนที่นำหนี้อื่นมารวมผ่อนชำระด้วยก็เพียงเพื่อความสะดวกไม่ต้องทำหนังสือหลายฉบับ ทั้งมิได้มีการเพิ่มเติมลูกหนี้แต่อย่างใด เพราะโจทก์ฟ้องจำเลยให้รับผิดตามเช็คพิพาทอยู่แล้ว และตามข้อตกลงดังกล่าวนั้นจำเลยจะต้องผ่อนชำระหนี้จนครบ 10 งวด โจทก์จึงจะถือว่าเป็นการระงับคดีอาญา ถ้าหากผิดนัดงวดหนึ่งงวดใดถือว่าผิดนัดทั้งหมดยอมให้โจทก์ดำเนินการตามกฎหมายทันที จึงเป็นเงื่อนไขในการที่โจทก์จะระงับคดีอาญาให้แก่จำเลย และตามข้อตกลงดังกล่าวเมื่อไม่มีข้อความตอนใดแสดงว่าโจทก์ตกลงสละสิทธิในการดำเนินคดีอาญาแก่จำเลยทั้งสองในทันที ข้อตกลงดังกล่าวจึงมิใช่เป็นสัญญาประนีประนอมยอมความจึงไม่ทำให้คดีอาญาเลิกกันตาม พ.ร.บ. ว่าด้วยอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534มาตรา 7 สิทธินำคดีอาญามาฟ้องของโจทก์จึงไม่ระงับไปตาม ป.วิ.อ มาตรา 39 (ฎีกา2420/2541)

สรุป
คดีอาญาจึงเลิกกันได้มี ๒ วิธี (1) ผู้กระทาความผิดยอมเสียค่าปรับในอัตราอย่างส่งในคดีอาญาที่มีโทษปรับ สถานเดียวและชำาระค่าปรับในอัตราอย่างส่งก่อนศาลพิจารณาหรือก่อนศาล เริ่มต้นสืบพยาน ตาม ป.วิ.อ.ม.37 (1) (2) ผ้่ต้องหาชำาระค่าปรับท่ีมีการเปรียบเทียบตาม ป.วิ อ. ม.37 (2),(3) และ (4)

หลักเกณฑ์และเงื่อนไขในการเปรียบเทียบปรับ ความผิดที่เปรียบเทียบปรับได้ (ป.วิ.อ.ม.37 )

(1) คดีที่มีโทษปรับสถานเดียวอย่างส่งไม่เกิน 10,000 บาท
(2) ความผิดที่เป็นลหุโทษ คือความผิดซึ่งต้องระวางโทษจาคุกไม่เกิน 1 เดือน หรือปรับไม่เกิน หนึ่งพันบาทหรือทังจาทังปรับ (ป.อ.ม.102)

(3) ความผิดต่อกฎหมายเก่ียวกับภาษี อากร ซึ่งมีโทษปรับอย่างส่งไม่เกิน 10,000 บาท ทังนี้แม้ว่าจะมีโทษจาคุกด้วยก็ตาม หากสามารถลงโทษปรับสถานเดียวได้และเป็นโทษปรับอย่างส่งไม่เกิน 10,000 บาท ก็สามารถ เปรียบเทียบได้
(4) คดีซึ่งเปรียบเทียบได้ตามกฎหมายอื่น ผู้มีอำนาจเปรียบเทียบ
4.1 พนักงานสอบสวนตาม ป.วิ.อ.ม.37 (2) และตาม พ.ร.บ.การเปรียบ เทียบคดีอาญา พ.ศ. 2481 ม. 4 และ ต้องเป็นพนักงานสอบสวนผู้มีอำานาจตาม ป.วิ.อ.ม.18,19 และ 20(2)
4.2 ในเขตกรุงเทพมหานคร นอกจากให้อำานาจพนักงานสอบสวนทำการ เปรียบเทียบแล้ว ป.วิ.อ. ม.37(3)  ยังให้อำานาจนายตำรวจประจำาท้องที่ตำแหน่งสารวัตรขึ้นไป หรือนายตำรวจชันสัญญาบัตรผู้ทำการในตำแหน่งนั้นๆ  มีอำนาจเปรียบเทียบได้ด้วย
4.3 หากเป็นความผิดต่อกฎหมาย ภาษีอากร นายตำารวจตำแหน่งสารวัตรซึ่งมิได้เป็นพนักงานสอบสวนไม่มีอำนาจเปรียบเทียบปรับ
4.4 พนักงานเจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจตามกฎหมายอื่นซึ่งได้ระบุไว้ชดแจ้งให้  พนักงานเจ้าหน้าที่เปรียบเทียบได้

สารคดี พระพุทธเจ้า มหาศาสดาโลก โดย BBC

ศาลกอดพ.ร.บ. โต้สภาทนายฯ ฟุ้งคนอบรมอื้อ

$
0
0
 อธิบดีศาลเยาวชนฯ เมินสภาทนายความฟ้อง ลั่นเดินหน้าอบรมที่ปรึกษากฎหมายต่อ ระบุกฎหมายเขียนไว้ก็ต้องปฏิบัติตาม รอมชอมไม่ได้ โฆษกศาลยุติธรรมชี้ไม่ใช่เรื่องใหญ่ ควรหาทางออกร่วมกันได้ เลขาธิการสภาทนายความลั่นเป็นการลิดรอนสิทธิ์
    นายจิรนิติ หะวานนท์ อธิบดีผู้พิพากษาศาลเยาวชนเเละครอบครัวกลาง กล่าวเมื่อวันจันทร์ ถึงกรณีสภาทนายความ ในพระบรมราชูปถัมภ์ จะยื่นฟ้องต่อศาลรัฐธรรมนูญหรือศาลปกครอง เนื่องจากไม่เห็นด้วยกับ พ.ร.บ.ศาลเยาวชนและครอบครัวกลางฯ ว่า เป็นสิทธิ์ของเขา ศาลก็ทำไปตามกฎหมาย เพราะกฎหมายออกมาอย่างนี้ ตนไม่ได้เป็นคนเขียนกฎหมาย และประเด็นนี้ก็เคยต่อสู้ถกเถียงในชั้นสภาผู้แทนราษฎรมาแล้ว แต่ ส.ส.กับ ส.ว.ไม่เห็นด้วยกับทางผู้แทนสภาทนายความ ถ้าไปเปิดกฎหมายศาลเยาวชนฉบับเก่า จะเห็นว่ากฎหมายเก่าแรงกว่านี้อีก เพราะคนที่เป็นที่ปรึกษากฎหมายไม่ต้องเป็นทนายความด้วยซ้ำ ทางทนายความก็ไม่เคยคัดค้านเลย พอมาฉบับปัจจุบันให้อำนาจทนายความว่าความได้ แต่ต้องมาอบรมเป็นที่ปรึกษากฎหมายเท่านั้น ทำไมถึงไม่ยอมอบรม   
    "ทางศาลยังยืนยันเปิดอบรมตามปกติ แต่ยอดตกไปบ้าง เดิมมาขึ้นทะเบียนขออบรม 300 คน มาจริง 180 คน ที่ไม่อบรมก็มาขอเงินคืน ซึ่งทางเราไม่คืนให้เนื่องจากได้จัดเป็นค่าใช้จ่ายไปหมดแล้ว และต้องเร่งอบรมอีกที่เชียงใหม่กับกรุงเทพฯ คาดว่าจะมีผู้เข้าอบรมยอดรวมเกือบ 2,000 คน ขณะนี้มียอดลงทะเบียนรวม 1,200 คนแล้ว ที่เนติบัณฑิตได้เตรียมที่นั่งไว้ถึง 1,500 ที่นั่งคาดว่าจะมากันเต็ม ส่วนที่สงขลาไปอบรมกัน 213 คน ประกาศผลสอบแล้วมีผู้สอบผ่าน 205 คน" นายจิรนิติกล่าว
    ทั้งนี้ เมื่อวันอาทิตย์ คณะกรรมการบริหารสภาทนายความ และประธานสภาทนายความตามศาลจังหวัดต่างๆ ได้ร่วมประชุมเพื่อคัดค้านพระราชบัญญัติศาลเยาวชนและครอบครัวกลาง และวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ. 2553 ในมาตรา 120 ถึงมาตรา 123 โดยเห็นว่าจะกระทบต่อวิชาชีพ เนื่องจากมาตราดังกล่าวได้กำหนดให้ศาลเยาวชนฯ ต้องจัดอบรมที่ปรึกษากฎหมาย เพื่อทำหน้าที่ทนายความในการดำเนินคดีเยาวชนและครอบครัว และหากทนายความคนใดไม่มีใบอนุญาตเป็นที่ปรึกษากฎหมายก็ไม่มีสิทธิ์ว่าความ
    อธิบดีศาลเยาวชนฯ กล่าวต่อว่า ทนายความที่ผ่านการอบรมแล้ว บางคนมาขอขึ้นทะเบียนข้ามจังหวัด เพราะไปทราบมาว่าบางจังหวัดมีทนายความไม่ยอมเข้าอบรม ทั้งนี้ อาจเป็นเพราะผู้ขึ้นทะเบียนเป็นทนายความขอแรง จะได้ค่าป่วยการทนายหรือค่าว่าความขอแรงสูงถึง 4,500-7,500 บาท คดีโทษประหารชีวิตอาจถึง 15,000 บาท แล้วแต่ความยากง่ายของคดี
    ผู้สื่อข่าวถามว่า มีทางประนอมความกับสภาทนายความหรือไม่ นายจิรนิติกล่าวว่า เมื่อกฎหมายเขียนไว้อย่างนี้ ตนก็ปฏิบัติตามกฎหมาย จะไปรอมชอมอย่างไร ที่เขาเคยมาพบตนก็อธิบายเหตุผลให้ฟังไปแล้ว
    ด้านนายสิทธิศักดิ์ วนะชกิจ โฆษกศาลยุติธรรม กล่าวว่า ตนยังไม่ได้อ่านตามข่าวที่สื่อมวลชนเสนอมาอย่างละเอียด เเต่เจตนารมณ์แห่งกฎหมายตาม พ.ร.บ.ศาลเยาวชนฯ ปี 2534 มีความประสงค์ที่จะยกระดับมาตรฐานให้สูงขึ้น ในด้านคุณวุฒิ โดยกำหนดให้ผู้ที่จะเป็นที่ปรึกษากฎหมายคดีเยาวชน นอกจากจะต้องจบนิติศาสตร์ และมีใบอนุญาตทนายความแล้ว จะต้องผ่านหลักสูตรการอบรมตามหลักสูตรที่กำหนดขึ้นอีก และหลักสูตรนี้ก็เปิดโอกาสให้ศาลเยาวชนและสภาทนายความเข้ามาช่วยกันอบรมหลัก สูตร เหตุเพราะกฎหมายเยาวชนเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน ไม่ใช่เป็นเฉพาะเรื่องการต่อสู้คดีเพื่อให้ลงโทษทางอาญาอย่างเดียว เเต่ต้องใช้หลักต่างๆ เช่น จิตวิทยา สังคม มุ่งเน้นการคุ้มครอง เยียวยา เเก้ไข ฟื้นฟู มากกว่าการดำเนินคดี
    "เรื่องนี้ถือว่ายังเป็นเรื่องใหม่อยู่ เเละเห็นว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่ หากเเต่เข้าใจเบื้องหลังเเห่งการตราบทกฎหมาย เเละยังไม่ถึงขนาดที่จะมาฟ้องศาลปกครอง หรือศาลรัฐธรรมนูญกัน เพียงเเต่หากใช้วิธีการเข้าใจเเละบูรณาการร่วมกันในเรื่องของหลักสูตรที่จะ อบรมก็จะไม่มีปัญหา ในช่วงที่ร่างกฎหมายนี้ ผมก็ทำหน้าที่เป็นเลขาธิการในการร่างกฎหมายฉบับนี้อยู่ที่สภาฯ เเละผู้ที่เป็นประธานเเละรองประธานในการร่างก็เป็นทนายความเอง" นายสิทธิศักดิ์กล่าว
    นายสรัลชา ศรีชลวัฒนา เลขาธิการสภาทนายความ ในพระบรมราชูปถัมภ์ กล่าวว่า กรณีที่เคยมีการถกเถียงเรื่องนี้ในสภาผู้แทนราษฎรนั้น เป็นเพราะร่างพ.ร.บ.ฉบับนี้ ผู้ร่าง (ขอสงวนชื่อ) ต้องการให้ที่ปรึกษากฎหมายมาจากผู้สำเร็จเเค่ทางนิติศาสตร์เท่านั้นก็มาขึ้น ทะเบียนได้ ซึ่งทางสภาทนายความฯ ยอมไม่ได้ ในชั้นนั้นจึงมีการขอเรียกร้องให้ต้องเป็นผู้ได้รับใบอนุญาตเป็นทนายความ เท่านั้นจึงจะมีสิทธิ์เป็นที่ปรึกษากฎหมายได้ การที่กำหนดให้ผู้ขึ้นทะเบียนจะต้องไปอบรมกับศาลเยาวชนฯ นั้น ถ้าหากลูกหลานของทนายความต้องการทนายความ ซึ่งก็คือพ่อหรือญาติของเขาเอง เเต่ปรากฏว่าไม่ได้ขึ้นทะเบียนเป็นที่ปรึกษากฎหมายที่ต้องอบรมโดยศาลเยาวชนฯ ก็จะเป็นปัญหา เเละจะถือว่าเป็นการลิดรอนสิทธิ์หรือไม่

ขอคืนของกลางในคดีอาญา

$
0
0
หลายคนสงสัยว่าทรัพย์สินหรืสิ่งของใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับคดี เช่น เอกสาร รถยนต์ เงิน อาวุธต่างๆ เหล่านี้เจ้าพนักงานสามารถยึดมาเป็นของกลางได้หรือไม่และอาศัยอำนาจฎหมายใด และเมื่อศาลสั่งว่าจะต้องริบทรัพย์สินนั้นจะตกได้แก่ผู้ใดและ หากขอคืต้องคืนให้ใครวันนี้ จะมาชี้แจงแถลงไข ข้อข้องใจนี้เพราะมีหลายคนสอบถามกันเกี่ยวกับปัญหานี้บ่อยมากกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
1.กรณี ริบมาตรา 32 33 34 ประมวลกฎหมายอาญา
2.มาตรา 36 เป็นหลักเกณฑ์การขอคืนของกลาง
3.ประมวลกฎหมายวิธิพิจารณาความอาญา มาตรา 49 การคืน
4.กรณีริบของกลาง ป.วิ.อ.มาตรา 186(9)


ประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา  32รัพย์สินใด ที่กฎหมายบัญญิติไว้ว่า ผู้ใดทำหรือมีไว้เป็นความผิด ให้ริบเสียทั้งสิ้น ไม่ว่าเป็ของผู้กระทำความผิดและมีผู้ถูกลงโทตามคำพิพากษาหรือไม่ 
หลักเกณฑ์
1.เป็นทรัพย์สินที่ทำหรือมีไว้เป็นความผิดกฎหมาย
2.ไม่ว่าจะเป็นของบุคคลใดก็ตาม
3.ไมว่าศาลจะพิพากษาให้ลงโทษบุคคลใดหรือไม่ก็ตาม

หลักเกณฑ์ทรัพย์ที่อยู่ในข่ายที่ต้องริบ
มาตรา 33 ในการริบทรัพย์สิน นอกจากศาจะมีอำนาจริบตามกฎหมายที่บัญญติไว้โดยเฉพาะเเล้ว ให้ศาลมีอำนาจสั่งให้ริบทรัพย์สินดังต่อไปนี้อีกด้วย คื
1.ทรัพย์สินซึ่งบุคคลได้ใช้ หรือีไว้เพื่อใช้ในการกระทำความผิด หรือ
2.ทรัพย์สินซึ่งบุคคลได้มาโดยกระทำความผิด
เว้นแต่ทรัย์สินเหล่านั้นเป็นทรัพย์สินของผู้อื่นซึ่งมิได้รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิด

มาตรา 34บรรดาทรัพย์สิน
1.ซึ่งได้ให้ตามความมาตรา 143 มาตรา 144 มาตรา 149 มาตรา 150(ความผิดต่อเจ้าพนักงาน) มาตรา 167 (ความผิดต่อเจ้าพนักงานในตุลากา) มาตรา 201 หรือมาตรา 202 (ความผิดต่อเจ้าพนักงานในตำแหน่งตุลาการ)หรือ
2.ซึ่งได้ให้เพื่อจูงใจบุคคลให้กระทำความผิดหรือเพื่อเป็นรางวัลในการที่บุคคลได้กระทำความผิด 
ให้ริบเสียทั้งสิ้น เว้นแต่ทรัพ์สินนั้นเป็นของผู้อื่นซึ่งมิได้รู้เห็นเป็นใจ ด้วยในการกระทำความผิด
ทรัพย์สินที่มิได้รู้เห็นเป็นใจในการกระทำความผิด ริบไม่ได้ามมาตรา 33 34 วรรคท้าย

ทรัพย์สินที่ศาลพิพากษาให้ริบต้องตกแก่แผ่นดิน
มาตรา 35 ทรัพย์สินซึ่งศาลพิพากษาให้ริบ ให้ตกเป็นของแผ่นดิน แต่ศาลจะพิพากษาให้ทำให้รัพย์สินนั้นใช้ไม่ได้หรือทำลายหรือทรัพย์สินนั้นเสียก็ได้

ยะเวลาการขอให้ศาลสั่งคืนของกลางภายใน 1 ปีนับแต่ศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุด
มาตรา 36 กรณีที่ศาลสั่งริบทรัพย์สินตามมาตรา 33 หรือมาตรา 34 ไปแล้ว หากปรากฎในภายหลังโดยคำเสนอของเจ้าของที่แท้จริงว่าผู้เป็นเจ้าของแท้จริงมิได้รู้เห็นเป็นจด้วยในการกระทำความผิด ก็ให้ศาลสั่งให้คืนทรัพย์สินถ้าทรัพย์สินนั้นยังคงมีอยู่ในความครอบครองของเจ้าพนักงาน แต่คำเสนอของเจ้าของที่เเท้จริงนั้น จะต้องกระทำต่อศาลภายนหนึ่งปีนับแต่วันที่ศาลมคำพิพากษาถึงที่สุด

อำนาจศาลสั่งให้ยึดทรัพย์หรือำระราคาแทนทรัพย์สิน
มาตรา 37ถ้าผู้ที่ศาสั่งให้ส่งทรัพย์สินที่ริบไม่ส่งภายในเวลาที่ศาลกำหนด ให้ศาลมีอำนาจดังต่อไปนี
1.ให้ยึดทรัพย์สินนั้น
2.ให้ชำระราคาหรือสั่งยึดทรัพย์สินอื่นของผู้นั้นชดใช้ราคาจนเต็มหรือ
3.ในกรณีที่ศาลเห็นว่า ผู้นั้นจะส่งทรัพย์สินที่สั่งให้ส่งได้แต่ไม่ส่ง หรือำระราคานั้นได้แต่ไม่ชำระ ให้ศลมีอำนาจกักขังผู้นั้นไว้จนกว่า จะปฎิบัติตามคำสั่ง แต่ไม่เกินหนึ่งปี แต่ถ้าภายหลังปรากฎแก่ศาลเอง หรือโดยคำเสนอของผู้นั้นว่า ผู้นั้นไม่สามารถส่งทรัพย์สินหรือชำระราคาได้ ศาลจะส่งให้ปล่อยตัวผู้นั้นไปก่อนครบกำหนดก็ได้

ประมวลกฎหมายวิธิพิจารณาความอาญา 
มาตรา 186(ใน) คพิพากษาหรือคำสั่งต้องมีข้อสำคัญเหล่านั้นนี้เป็นอย่างน้อย
(9) คำวินิจฉันของศาลในเรื่องของกลางหรือในเรื่องฟ้องทางแพ่ง  

ขอคืนของกลางในคดีอาญา(ในทางปฎิบัติ)
การขอรับของกลางในคดี อาญา ซึ่งพนักงานเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ทำการตรวจยึดไว้เป็นของกลางในคดีอาญา ต่อเมื่อศาลได้ตัดสินคดีอาญาที่เกี่ยวข้องกับของกลางที่ได้ตรวจยึดไว้เป็น ของกลาง เป็นอันสิ้นสุดคดี และศาลได้สั่งให้คืนของกลางเป็นลายลักษณ์อักษร มาถึงหัวหน้าสถานีตำรวจและสั่งให้คืนของกลางแก่ผู้เป็นเจ้าของหรือผู้มี สิทธิ์ครอบครอง ตามระเบียบแล้ว ผู้มีสิทธิ์ครอบครองหรือเจ้าของตามคำสั่งศาลถึงที่สุดแล้ว สามารถยื่นเรื่องราวขอคืนของกลางได้ยังที่ทำการสถานีตำรวจเจ้าของเรื่องราว ในวันทำการ ( วันเวลาราชการ )
 
ขั้นตอนการขอคืนของกลางในคดีอาญา 
เมื่อคดีถึงที่สุดและศาลสั่งให้คืนของกลางตามระเบียบและข้อกฎหมาแล้ว ผู้เป็นเจ้าของทรัพย์ หรือ ผู้มีสิทธิ์ครอบครอบทรัพย์ของกลาง สามารถยื่นเรื่องราวขอคืนของกลางในคดีอาญา ตามขั้นตอนดังนี้
1.ยื่นหลักฐานการขอคืนของกลางในคดีอาญาต่อพนักงานเจ้าหน้าที่
1.1. สำเนาบันตรประจำตัวประชาชน/บัตรข้าราชการ หรือบัตรอื่นที่ทางราชการออกให้ พร้อมลายเซ็นรับรองสำเนาถูกต้อง
1.2. สำเนาทะเบียนบ้านผู้ขอรับคืนของกลางในคดีอาญา พร้อมลายเซ็นรับรองสำเนาถูกต้อง
1.3. คำสั่งศาล สั่งให้คืนของกลาง
1.4. หากเป็นตัวแทนจะต้องมีหนังสือมอบอำนาจติดอากรแสตมป์ พร้อมลายเซ็นผู้มอบอำนาจ/ผู้รับมอบอำนาจและพยาน
1.4.1. สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน พร้อมลายเซ็นสำเนาถูกต้อง ของผู้มอบอำนาจ
1.4.2..สำเนาทะเบียนบ้านผู้มอบอำนาจ พร้อมลายเซ็น รับรองสำเนาถูฏต้อง
2. ยืนหลักฐานและคำร้อง พร้อมด้วยค่าธรรมเนียม ต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ( เฉพาะวันทำการเท่านั้น )
การขอรับของกลางในคดีอาญา ซึ่งพนักงานเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ทำการตรวจยึดไว้เป็นของกลางในคดีอาญา ต่อเมื่อศาลได้ตัดสินคดีอาญาที่เกี่ยวข้องกับของกลางที่ได้ตรวจยึดไว้เป็น ของกลาง เป็นอันสิ้นสุดคดี และศาลได้สั่งให้คืนของกลางเป็นลายลักษณ์อักษร มาถึงหัวหน้าสถานีตำรวจและสั่งให้คืนของกลางแก่ผู้เป็นเจ้าของหรือผู้มี สิทธิ์ครอบครอง ตามระเบียบแล้ว ผู้มีสิทธิ์ครอบครองหรือเจ้าของตามคำสั่งศาลถึงที่สุดแล้ว สามารถยื่นเรื่องราวขอคืนของกลางได้ยังที่ทำการสถานีตำรวจเจ้าของเรื่องราว ในวันทำการ ( วันเวลาราชการ )

คำแนะนำในการติดต่อที่สถานีตำรวจ
เพื่อความสะดวกรวดเร็วและถูกต้องตามกฎหมายและระเบียบของทางราชการ เมื่อท่านไปติดต่อที่สถานีตำรวจท่านควรแตรียมเอกสารต่างๆ ที่จำเป็นติดตัวไปด้วย คือ
1. บัตรประจำตัวประชาชน หรือใบแทนฯ หรือ
2. บัตรประจำตัวข้าราชการ หรือ
3. ใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าว หรือ
4. หนังสือเดินทาง ( Passport ) สำหรับชาวต่างประเทศที่เดินทางเข้ามาในประเทศ
5. ในกรณีที่ท่านไปร้องทุกข์( แจ้งความ) โดยเป็นตัวแทนของผู้อื่น ให้นำหลักฐาตต่างๆ ดังนี้ติดตัวไปด้วย
5.1 ใบสำคัญการเป็นตัวแทนโดยชอบธรรมของผู้เยาว์
5.2 ใบสำคัญการเป็นผู้อนุบาลของผู้ไร้ความสามารถ(ตามคำสั่งศาล)
5.3 ในกรณีที่ผู้เสียหายถูกทำร้ายถึงแก่ความตายหรือบาดเจ็บสาหัสจนไม่สามารถจัดการเองได้ ให้ท่านนำหลักฐานซึ่งแสดงว่าเป็นบุพการีหรือผู้สืบสันดานหรือสามีหรือภรรยา (ซึ่งได้จดทะเบียนบ้าน, สูติบัตร, ใบทะเบียนสมรส ฯลฯ) มาแสดงต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ
5.4 ใบสำคัญแสดงการอนุญาตของสามีหรือภรรยา แล้วแต่กรณีให้ร้องทุกข์แทน หรือเป็นตัวแทนโดยสมบูรณ์
5.5 ในกรณีที่เป็นตัวแทนของนิติบุคคลให้นำ
( 1 ) หนังสือมอบอำนาจของนิติบุคคลเป็นหลักฐาน ทั้งติดอากรแสตมป์ 5 บาท
( 2 ) หนังสือรับรองนิติบุคคลนั้น ของกระทรวงพาณิชย์




คำพิพากษาฎีกาการขอคืนของกลางในคดีอาญา
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1875/2547
ความ ผิดฐานมีอาวุธปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาตเป็นความผิดต่างกรรม กับความผิดฐานพาอาวุธปืนไปในเมือง หมู่บ้าน และทางสาธารณะโดยไม่รับใบอนุญาต เพราะความผิดทั้งสองฐานมีเจตนาในการกระทำความผิดเป็นคนละเจตนาแตกต่างกัน และเป็นความผิดต่างฐานกัน แม้จำเลยจะกระทำความผิดทั้งสองฐานนี้ในวาระเดียวกัน การกระทำของจำเลยก็เป็นความผิดหลายกรรมต่างกันตาม ป.อ. มาตรา 91แม้ ความผิดฐานพาอาวุธปืนไปในเมือง หมู่บ้าน และทางสาธารณะ จะเป็นการกระทำกรรมเดียวเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.อาวุธปืนฯ มาตรา 72 ทวิ วรรคสอง และ ป.อ. มาตรา 371 ต้องลงโทษตาม พ.ร.บ.อาวุธปืนฯ มาตรา 72 ทวิ วรรคสอง ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุด มิได้ลงโทษตาม ป.อ. มาตรา 371 และตาม พ.ร.บ.อาวุธปืนฯ ดังกล่าวมิได้มีบทบัญญัติให้ริบอาวุธปืนก็ตาม แต่อาวุธปืนของกลางเป็นอาวุธปืนที่ไม่มีเครื่องหมายทะเบียนจึงเป็นทรัพย์สิน ที่มีไว้เป็นความผิด ซึ่งโจทก์ได้ขอให้ริบและอ้าง ป.อ. มาตรา 32 มาท้ายฟ้องแล้ว จึงริบอาวุธปืนของกลางได้การที่ศาลสั่งริบอาวุธปืนของ กลางตามคำขอท้ายฟ้องของโจทก์ แม้จะมิได้ระบุกฎหมายที่ให้อำนาจริบไว้ก็ตาม ถือว่าศาลได้มีคำวินิจฉัยเกี่ยวกับของกลางครบถ้วนแล้วตาม ป.วิ.อ. มาตรา 186 (9)


คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3299/2547
ตาม บทบัญญัติ ป.อ. มาตรา 78 เมื่อปรากฏว่ามีเหตุบรรเทาโทษ ถ้าศาลเห็นสมควรจะลดโทษไม่เกินกึ่งหนึ่งของโทษที่จะลงแก่ผู้กระทำความผิด นั้นก็ได้ ซึ่งเป็นบทบัญญัติในการใช้ดุลพินิจในการลงโทษให้เหมาะสมแก่พฤติการณ์ของผู้ กระทำความผิดเป็นรายบุคคลไป หาใช่บทบังคับที่จะต้องลดโทษให้แก่ผู้กระทำความผิดเพราะมีเหตุบรรเทาโทษเสมอ ไปไม่โจทก์ฟ้องขอให้ริบของกลางทั้งหมด แต่ศาลล่างทั้งสองมิได้มีคำวินิจฉัยว่าจะริบของกลางดังกล่าวหรือไม่ คำพิพากษาของศาลล่างทั้งสองยังไม่ชอบด้วย ป.วิ.อ. มาตรา 186 (9) แม้คู่ความจะมิได้ฎีกาในปัญหานี้แต่เป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบด้วยมาตรา 225 และการริบทรัพย์สินของกลางนี้ไม่เป็นการเพิ่มโทษจำเลย จึงไม่ต้องห้ามตาม ป.วิ.อ. มาตรา 212 เมื่อปรากฏว่าทรัพย์สินของกลางเป็นทรัพย์สินที่จำเลยใช้ในการกระทำความผิด และมีไว้เป็นความผิด จึงให้ริบ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6247/2545
โจทก์ฟ้องและมีคำขอให้ริบของกลางซึ่งเป็นทรัพย์สินที่จำเลยทั้งสองมีไว้และ ใช้ในการกระทำความผิดมาด้วย แต่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาโดยยังมิได้วินิจฉัยในเรื่องของกลาง เป็นการไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 186(9)ปัญหานี้เป็นข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้โจทก์จะมิได้อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 8 ก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยแก้ไขให้ถูกต้องและพิพากษาให้ริบของกลางได้ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง โดยไม่ถือเป็นการเพิ่มเติมโทษจำเลย 


คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1701/2548
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานวิ่งราวทรัพย์ตาม ป.อ. มาตรา 336 และขอให้จำเลยคืนหรือใช้เงินจำนวน 6,100 บาท แก่ผู้เสียหาย ศาลอุทธรณ์ภาค 6 ฟังว่าจำเลยกระทำความผิดฐานวิ่งราวทรัพย์ตาม ป.อ. มาตรา 336 วรรคหนึ่ง แต่ไม่วินิจฉัยตามคำขอให้คืนหรือใช้ราคาทรัพย์ของโจทก์ จึงเป็นการไม่ชอบ แต่ที่โจทก์ขอให้คืนหรือใช้เงินแก่ผู้เสียหาย ซึ่งตามฟ้องระบุเป็นเงินของนาง ซ. ยายผู้เสียหาย จึงบังคับให้จำเลยคืนหรือใช้เงินแก่ผู้เสียหายไม่ได้ แต่ให้คืนหรือใช้เงินแก่นาง ซ. ยายผู้เสียหาย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6178/2548
พระราชบัญญัติบัตรประจำตัวประชาชน (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2542 ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้ในภายหลังการกระทำความผิดได้ขยายองค์ประกอบความผิดจาก เดิมที่กำหนดให้ผู้กระทำความผิดต้องเป็นผู้ไม่มีสัญชาติไทย ให้เป็น ผู้ใด ซึ่งจะเป็นผู้ที่มีสัญชาติไทยหรือไม่ก็ได้ ดังนั้น ในการพิจารณาว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดหรือไม่ จึงต้องพิจารณาตามพระราชบัญญัติบัตรประจำตัวประชาชน พ.ศ.2526 มาตรา 14 เดิม ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้ในขณะกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 2 เมื่อคำฟ้องของโจทก์ปรากฏว่าจำเลยเป็นผู้มีสัญชาติไทย จึงเป็นฟ้องที่ขาดองค์ประกอบความผิดตามมาตราดังกล่าว ถือเป็นฟ้องที่ไม่ชอบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158 (5) แม้จำเลยให้การรับสารภาพก็ลงโทษจำเลยไม่ได้
โจทก์ขอให้ริบของกลางที่จำเลยใช้กระทำความผิด แต่ศาลล่างทั้งสองมิได้มีคำวินิจฉัยว่าจะริบของกลางนั้นหรือไม่ คำพิพากษาจึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 186 (9) แม้คู่ความมิได้ฎีกาปัญหานี้ แต่เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ตามมาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225 แต่เมื่อปรากฏว่าศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาให้ริบของกลางในคดีอื่นที่ผู้ร่วม กระทำความผิดกับจำเลยถูกฟ้องแล้ว จึงไม่จำต้องสั่งริบของกลางในคดีนี้อีก

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7010/2548
โจทก์มีคำขอให้ริบไม้และเลื่อยยนต์ของกลางที่จำเลยได้มาจากการกระทำความผิด และใช้ในการกระทำความผิด แต่ศาลชั้นต้นมิได้มีคำวินิจฉัยว่าจะริบหรือไม่ริบของกลางดังกล่าว จึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 186 (9) แม้โจทก์ไม่ได้อุทธรณ์ แต่เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลอุทธรณ์ภาค 8 มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้เอง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง และการริบทรัพย์สินแม้ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 18 จะบัญญัติว่าเป็นโทษสถานหนึ่ง แต่เป็นโทษที่มุ่งถึงตัวทรัพย์เป็นสำคัญต่างกับโทษสถานอื่นซึ่งแม้จำเลยจะ ไม่ได้กระทำความผิดหรือกระทำความผิดแต่ไม่ต้องรับโทษ ศาลก็มีอำนาจสั่งริบทรัพย์สินของกลางได้ จึงมิใช่เป็นการเพิ่มเติมโทษจำเลย ศาลอุทธรณ์ภาค 8 ย่อมมีอำนาจสั่งริบของกลางได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3762/2549
ตาม พ.ร.บ. ยาเสพติดให้โทษฯ มาตรา 4 คำว่า ผลิต หมายความว่า เพาะปลูก ทำ ผสม ปรุง แปรสภาพ เปลี่ยนรูป ฯลฯ เมื่อมีการผสมปรุงจนเป็นเมทแอมเฟตามีนแล้ว แม้อยู่ในสภาพของเหลวก็ใช้เสพได้เลย การอัดของเหลวให้เป็นเม็ดเป็นเพียงทำให้สะดวกในการซื้อขายกำหนดราคาและ ปริมาณในการจำหน่ายกันต่อไปเท่านั้น การกระทำของจำเลยทั้งสามจึงเป็นความผิดฐานผลิตยาเสพติดให้โทษสำเร็จแล้ว
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ของกลางมิได้เป็นเครื่องมือ เครื่องใช้ ยานพาหนะหรือวัตถุอื่น ซึ่งได้ใช้ในการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษตาม พ.ร.บ. ยาเสพติดให้โทษฯ มาตรา 102 และไม่ใช่ทรัพย์สินที่กฎหมายบัญญัติไว้ว่า ผู้ใดทำหรือมีไว้เป็นความผิดหรือได้มาโดยกระทำความผิดตาม ป.อ. มาตรา 32, 33 (2) ไม่อาจริบได้ แต่ศาลชั้นต้นมิได้พิพากษาคืนของกลางดังกล่าวแก่เจ้าของแม้คู่ความมิได้ฎีกา เกี่ยวกับของกลางดังกล่าวก็ตาม ศาลฎีกามีอำนาจสั่งคืนแก่เจ้าของได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 49 และ 186 (9)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1901/2550
การที่จำเลยทั้งสองร่วมกันจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน 20,000 เม็ด ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ เมทแอมเฟตามีน 20,061 เม็ด ที่จำเลยทั้งสองร่วมกันมีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย แต่หลังจากที่จำเลยทั้งสองร่วมกันจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน 20,000 เม็ด เสร็จสิ้นไปแล้ว จำเลยทั้งสองยังร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนที่เหลือจากการจำหน่ายอีก 61 เม็ด ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายต่อไป จึงเป็นการกระทำความผิดที่เกิดขึ้นใหม่แยกต่างหากจากกัน คือฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนฐานหนึ่งและฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครอง เพื่อจำหน่ายอีกฐานหนึ่ง ปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้คู่ความไม่ฎีกา ศาลฎีกาก็มีอำนาจปรับบทให้ถูกต้อง แต่ไม่อาจลงโทษอีกกรรมหนึ่งได้ เพราะจะเป็นการเพิ่มเติมโทษแก่จำเลยทั้งสองโดยโจทก์ไม่ได้ฎีกา ต้องห้ามตาม ป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคสอง, 212 ประกอบมาตรา 225
โจทก์มีคำขอให้ริบรถยนต์และลูกกุญแจรถยนต์ของกลางซึ่งศาลชั้นต้นยกคำขอของ โจทก์ เมื่อโจทก์มิได้อุทธรณ์ ปัญหาเรื่องการริบของกลางดังกล่าวย่อมยุติ จึงต้องคืนของกลางแก่เจ้าของตาม ป.วิ.อ. มาตรา 186 (9) ประกอบ มาตรา 215 และ 225


คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5834/2550
ความผิดตาม พ.ร.บ.ควบคุมกิจการเทปและวัสดุโทรทัศน์ พ.ศ.2530 มาตรา 6 วรรคหนึ่ง, 34 มีระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ เมื่อศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางพิพากษาปรับจำเลยทั้ง สามคนละไม่เกิน 5,000 บาท การที่จำเลยทั้งสามอุทธรณ์ขอให้ลดโทษปรับ เป็นการโต้แย้งดุลพินิจการกำหนดโทษ เป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตาม พ.ร.บ.จัดตั้งศาลทรัพย์สินทางปัญญาฯ มาตรา 39 (4)
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสามตาม พ.ร.บ.ลิขสิทธิ์ฯ และ พ.ร.บ.ควบคุมกิจการเทปและวัสดุโทรทัศน์ฯ กับขอให้ริบทรัพย์ของกลางแต่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ กลางมิได้มีคำวินิจฉัยเกี่ยวกับของกลางดังกล่าว จึงไม่ชอบด้วย พ.ร.บ.จัดตั้งศาลทรัพย์สินทางปัญญาฯ มาตรา 26 ประกอบ ป.วิ.อ. มาตรา 186 (9) แม้คู่ความมิได้อุทธรณ์ในปัญหานี้ แต่เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกาฯมีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยและแก้ไขได้เอง ตาม พ.ร.บ.จัดตั้งศาลทรัพย์สินทางปัญญาฯ มาตรา 45 ประกอบ ป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคสอง
โดยสภาพของการกระทำความผิดฐานร่วมกันขาย เสนอขาย และมีไว้เพื่อขายซึ่งแผ่นวีซีดีคาราโอเกะ แผ่นซีดีเพลงเอ็มพีสาม และแผ่นวีซีดีภาพยนตร์ อันเป็นงานที่ละเมิดลิขสิทธิ์ของผู้เสียหายแก่บุคคลทั่วไปเพื่อการค้า แม้จำเลยทั้งสามไม่มีหรือไม่ใช้แผงเหล็กตั้งสินค้า สมุดบันทึกรายรับรายจ่ายตะกร้า กล่องพลาสติก ถุงพลาสติก ซองพลาสติก และผ้าปูโต๊ะของกลางในการกระทำความผิด จำเลยทั้งสามก็สามารถกระทำความผิดนี้สำเร็จได้ ของกลางเหล่านี้จึงไม่เป็นปัจจัยหลักหรือส่วนสำคัญในการกระทำความผิดดัง กล่าว ทั้งสิ่งของเหล่านี้ก็มักจะเป็นสิ่งที่มีอยู่ตามปกติในร้านค้าที่ขาย เสนอขาย หรือมีไว้เพื่อขายซึ่งสินค้าไม่ว่าเป็นสินค้าประเภทใด ข้อเท็จจริงตามคำบรรยายฟ้องของโจทก์จึงยังไม่ชัดแจ้งพอฟังได้ว่า ของกลางดังกล่าวเป็นวัตถุหรือเครื่องมือเครื่องใช้ที่เป็นหลักหรือมีส่วน สำคัญในการกระทำละเมิดต่องานอันมีลิขสิทธิ์ของผู้เสียหายโดยตรง จึงไม่อาจถือได้ว่าเป็นสิ่งที่ใช้ในการกระทำความผิดที่ต้องริบเสียทั้งสิ้น ตาม พ.ร.บ.ลิขสิทธิ์ฯ มาตรา 75 ส่วนแผ่นซีดีก๊อปปี้ 350 แผ่น ของกลางนั้น ไม่ปรากฏว่ามีงานสร้างสรรค์อันเป็นลิขสิทธิ์ของผู้เสียหายรวมอยู่ด้วย จึงไม่ใช่ทรัพย์ที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดของจำเลยทั้งสามฐานร่วมกัน ละเมิดลิขสิทธิ์ของผู้อื่นเพื่อการค้าที่โจทก์ฟ้อง จึงไม่ใช่สิ่งที่ใช้ในการกระทำความผิดที่ต้องริบตาม พ.ร.บ.ลิขสิทธิ์ฯ มาตรา75 เช่นกัน
ความผิดฐานประกอบกิจการให้เช่า แลกเปลี่ยน หรือจำหน่ายเทปหรือวัสดุโทรทัศน์โดยไม่ได้รับอนุญาต สาระสำคัญของการกระทำความผิดอยู่ที่การไม่ได้รับอนุญาตจากนายทะเบียน ดังนั้นแผงเหล็กตั้งสินค้า สมุดบันทึกรายรับรายจ่าย ตะกร้า กล่องพลาสติก ซองพลาสติก ผ้าปูโต๊ะ และแผ่นซีดีก๊อปปี้ของกลางจึงมิใช่ทรัพย์สินที่จำเลยทั้งสามได้ใช้หรือมีไว้ เพื่อใช้ในการกระทำความผิดฐานนี้ที่ศาลจะมีอำนาจริบตาม ป.อ. มาตรา 33 (1)
สิ่งบันทึกเสียงและสิ่งบันทึกภาพและเสียงที่เจ้าพนักงานยึดไว้เป็นของกลางใน คดีนี้มีทั้งที่ทำขึ้นโดยละเมิดลิขสิทธิ์ของผู้เสียหายกับที่ไม่ละเมิด ลิขสิทธิ์ของผู้เสียหายรวมอยู่ด้วย และไม่ปรากฏว่าจำเลยทั้งสามได้เงินสด 1,750 บาท ของกลางมาโดยการขายงานที่ละเมิดลิขสิทธิ์ของผู้เสียหายในคดีนี้โดยมีการวาง แผนล่อซื้อ จึงไม่ชัดเจนว่าจำเลยทั้งสามได้เงินจำนวนดังกล่าวมาจากการขายงานที่ละเมิด ลิขสิทธิ์ของผู้เสียหายที่เจ้าพนักงานยึดไว้เป็นของกลางในคดีนี้ หรือเป็นเงินที่จำเลยทั้งสามได้มาจากการขายงานอันละเมิดลิขสิทธิ์ของผู้เสีย หายหรือของผู้อื่นก่อนหน้านี้ ทั้งความผิดฐานประกอบกิจการให้เช่า แลกเปลี่ยนหรือจำหน่ายเทปหรือวัสดุโทรทัศน์โดยไม่ได้รับอนุญาตอยู่ที่จำเลย ทั้งสามไม่ได้รับอนุญาตจากนายทะเบียนเทปหรือวัสดุโทรทัศน์ที่จำเลยทั้งสาม ร่วมกันมีไว้เพื่อประกอบกิจการดังกล่าวมิใช่ทรัพย์สินที่ใช้หรือมีไว้เพื่อ ใช้ในการกระทำความผิดฐานนี้ ดังนั้นแม้เงินที่จำเลยทั้งสามได้รับมาเป็นค่าตอบแทนการให้เช่าแลกเปลี่ยน หรือจำหน่ายเทปหรือวัสดุโทรทัศน์ตามฟ้อง ก็ไม่ใช่ทรัพย์สินที่จำเลยทั้งสามได้มาโดยการกระทำความผิดฐานนี้ จึงไม่อาจริบตาม ป.อ. มาตรา 33 (2) เช่นกัน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 539/2551
โจทก์บรรยายฟ้องว่า เจ้าพนักงานตำรวจยึดรถจักรยานยนต์เป็นของกลาง แม้โจทก์จะมิได้มีคำขอเกี่ยวกับของกลางมาด้วยก็ตาม ศาลจะสั่งคืนของกลางดังกล่าวแก่เจ้าของก็ได้ ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 186 (9) ประกอบมาตรา 49

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1439/2551
ป.วิ.อ. มาตรา 186 (9) ประกอบมาตรา 44 บัญญัติให้คำพิพากษาคดีอาญาต้องมีคำวินิจฉัยของศาลในเรื่องของกลางหรือใน เรื่องฟ้องทางแพ่ง อันเป็นบทบังคับให้ศาลต้องมีคำวินิจฉัยในส่วนดังกล่าว การที่ศาลชั้นต้นพิพากษายกคำขอของโจทก์ที่ขอให้จำเลยใช้เงิน 1,039,000 บาท แก่ผู้เสียหายทั้งหมดโดยไม่ได้ให้เหตุผล จึงเป็นการไม่ชอบด้วยบทบัญญัติแห่งกฎหมาย และปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้โจทก์จะมิได้อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ย่อมมีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้ เมื่อจำเลยเป็นผู้สนับสนุนในการกระทำความผิดจำเลยก็ต้องร่วมกันกับผู้อื่น ที่เป็นตัวการคืนหรือใช้เงินแก่ผู้เสียหายด้วย


คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4745/2547 (ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 2/2547)
ในคดีร้องขอคืนของกลางที่ศาลสั่งริบนั้น ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยตามคำร้องของผู้ร้องมีเพียงว่า ศาลจะสั่งคืนเรือของกลางให้แก่เจ้าของซึ่งมิได้รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำ ความผิดของจำเลยหรือไม่เท่านั้น ส่วนประเด็นที่ว่า ศาลจะสั่งริบเรือของกลางได้หรือไม่ยุติไปตามคำสั่งศาลในคดีหลักซึ่งถึงที่ สุดแล้ว ผู้ร้องจะยกประเด็นดังกล่าวขึ้นมาในคำร้องขอคืนเรือของกลางต่อไปอีกไม่ได้ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6356/2552
โจทก์มิได้บรรยายฟ้องว่ายึดไฟแช็กแก๊สได้ในที่เกิดเหตุไฟแช็กแก๊สจึงไม่ใช่ ของกลางที่โจทก์บรรยายมาในฟ้องและมีคำขอให้ศาลวินิจฉัยตาม ป.วิ.อ. มาตรา186 (9) การที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้คืนไฟแช็กแก๊สแก่เจ้าของเป็นการพิพากษานอก เหนือไปจากคำฟ้องอันเป็นการไม่ชอบ


คำพิกาษาฎีกาที่ 6377/2539 
ศาล ชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลย 1 เดือน และปรับ 1,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 1 ปีให้พักใช้ใบอนุญาตขับขี่ของจำเลยมีกำหนด 1 เดือนและไม่ริบรถจักรยานยนต์ของกลาง ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เฉพาะให้ริบรถจักรยานยนต์ของกลาง เป็นการแก้ไขเล็กน้อยต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธี พิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคหนึ่งที่จำเลยฎีกาว่า รถจักรยานยนต์ของกลางเป็นของผู้อื่นซึ่งมิได้รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำ ความผิดขอให้มีคำสั่งคืนรถจักรยานยนต์ของกลางนั้น เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงจึงต้องห้ามมิให้ฎีกา

คำพิกาษาฎีกาที่ 562/2538
ศาล ชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลย 6 เดือน ปรับ 5,000 บาทโทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 1 ปี และไม่ริบรถยนต์ของกลาง ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เฉพาะของกลางเป็นให้ริบ เป็นการแก้ไขเล็กน้อย ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคหนึ่งฉะนั้น ที่จำเลยฎีกาขอให้ไม่ริบรถยนต์ของกลาง เป็นการโต้เถียงดุลพินิจของศาลเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงจึงต้องห้าม

คำพิกาษาฎีกาที่  2732/2527 
พระ ราชบัญญัติการพนันฯ มาตรา 10 วรรคสอง ให้ศาลมีอำนาจที่จะใช้ดุลพินิจในการริบเครื่องมือเครื่องใช้ในการเล่นการ พนันโดยจะริบหรือไม่ริบก็ได้ ศาลชั้นต้นลงโทษปรับจำเลย 600 บาท และริบโต๊ะบิลเลียด ไม้คิวและลูกบิลเลียดของกลางศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เฉพาะไม่ริบของกลางเท่า นั้น จึงเป็นการแก้ไขเล็กน้อยโจทก์จะฎีกาขอให้ริบของกลางอันเป็นปัญหาข้อเท็จจริง อีกไม่ได้ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218

คำพิกาษาฎีกาที่  215/2506
ตามพ ระ ราชบัญญัติการประมง พ.ศ.2496 มาตรา 10 ที่กำหนดว่า สิ่งของที่ใช้หรือได้มาในการกระทำผิด ศาลจะริบเสียก็ได้ ซึ่งเป็นการให้อำนาจศาลใช้ดุลพินิจนั้น เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้นเรื่องของกลางที่ให้ริบเป็น ไม่ริบ ก็เป็นการใช้ดุลพินิจตามอำนาจที่ให้ไว้ตามกฎหมาย และเป็นการแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้นเล็กน้อย โจทก์จึงฎีกาขอให้ริบของกลางไม่ได้

การขอคืนของกลางของบุคคลภายนอกตาม ป. อ. มาตรา 36 ไม่อยู่ภายใต้หลักเกณฑ์ต้องห้ามตาม ป.วิ.อ. มาตรา 193 ทวิ และมาตรา 218 ให้พิจารณาศึกษาจากฎีกาดังต่อไปนี้
คำพิกาษาฎีกาที่ 1025/2522
กรณี บุคคลภายนอกขอคืนของกลางตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา36 ไม่มีกฎหมายจำกัดสิทธิในการอุทธรณ์ฎีกา แม้ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาต้องกันมาให้ยกคำร้องของผู้ร้องผู้ร้องก็ ยังฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงได้ คดีไม่ตกอยู่ในบังคับมาตรา 220 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาควา
มอาญา
การแจ้งโอนทะเบียนรถยนต์ ตามพระราชบัญญัติรถยนต์ พ.ศ.2473 มาตรา 13 นั้น เป็นเรื่องกฎหมายกำหนดให้มีขึ้นเพื่อประโยชน์แก่การควบคุมของเจ้าพนักงาน เท่านั้นไม่ใช่แบบ ที่กำหนดไว้เพื่อความสมบูรณ์แห่งนิติกรรมซื้อขายรถยนต์ รถยนต์เป็นสังหาริมทรัพย์อย่างหนึ่งซึ่งกรรมสิทธิ์ย่อมโอนไปยังผู้ซื้อ ตั้งแต่ขณะเมื่อได้ทำสัญญาซื้อขายกัน

คร. 342/2519
ใน กรณีที่ผู้ร้องยื่นคำร้องขอคืนทรัพย์สินที่ศาลสั่งริบโดยอ้างว่าผู้ร้องเป็น เจ้าของอันแท้จริง มิได้รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิด ดังบัญญัติไว้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 36 นั้น แม้ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำร้องของผู้ร้องโดยอาศัยข้อเท็จจริง ผู้ร้องฎีกาได้ ไม่อยู่ในบังคับของประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา220

กรณีศาลสั่งริบโดยโจทก์ไม่ได้อุทธรณ์ฎีกา เป็นกรณีศาลเพิ่มโทษจำเลยและขัดต่อ ป.วิ.อ. มาตรา 212 หรือไม่ ศาลฎีกาวางหลักว่า ไม่เป็นการเพิ่มโทษจำเลย ให้พิจารณาศึกษาจากฎีกาต่อไปนี้
คำพิกาษาฎีกาที่  714/2542โจทก์ ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราช บัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 4,7,8,15,66,67,97,102 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91,83,32,33 และมีคำขอให้ ริบของกลางคือธนบัตรที่จำเลยทั้งสองทอนให้เจ้าพนักงานตำรวจ ผู้ทำการล่อซื้อด้วย แต่ศาลล่างทั้งสองมิได้มีคำวินิจฉัยว่า จะริบหรือไม่ริบธนบัตรดังกล่าว คำพิพากษาของศาลล่างทั้งสองจึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 186(9) แม้คู่ความจะมิได้ฎีกาในปัญหานี้ แต่เป็นปัญหาที่เกี่ยวกับ ความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสองประกอบมาตรา 225 ธนบัตรของกลางที่จำเลยทอนให้เจ้าพนักงานตำรวจผู้ทำการ ล่อซื้อเป็นทรัพย์สินที่จำเลยได้ใช้ในการกระทำความผิดฐาน จำหน่ายยาเสพติดให้โทษจึงต้องริบ ตามพระราชบัญญัติ ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 102 การริบทรัพย์สินนี้ แม้ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 18 จะบัญญัติว่าเป็นโทษสถานหนึ่ง แต่เป็นโทษที่มุ่งถึงตัวทรัพย์เป็นสำคัญ จึงต่างกับโทษ สถานอื่น ซึ่งบางกรณีแม้จำเลยจะไม่ได้กระทำผิดหรือกระทำผิด แต่ไม่ต้องรับโทษ ดังนี้ ศาลจึงมีอำนาจสั่งริบทรัพย์สิน ของกลางนี้ได้ มิใช่เป็นการเพิ่มโทษจำเลย

ฎีกา 696/2540
จำเลยมี เจตนาที่จะมีอาวุธปืนไว้ในครอบครองมีความผิดมาตั้งแต่เริ่มครอบครองเป็นกรรม หนึ่งและมีเจตนาที่จะพกอาวุธปืนดังกล่าวติดตัวไปในทางสาธารณะโดยผิดกฎหมายก็ เป็นความผิดอีกกรรมหนึ่งจึงเป็นความผิดสองกรรม อาวุธปืนซึ่งไม่มีเครื่องหมายของเจ้าพนักงานประทับและเครื่องกระสุนปืนของ กลางเป็นทรัพย์สินที่มีไว้เป็นความผิดต้องริบตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา32แม้ โจทก์ไม่ได้อุทธรณ์ฎีกาในปัญหาเรื่องของกลางก็ตามแต่เมื่อโจทก์มีคำขอให้ริบ ของกลางมาแล้วทั้งมิใช่กรณีเพิ่มเติมโทษจำเลยก็ชอบที่จะวินิจฉัยในเรื่องของ กลางด้วยศาลฎีกาจึงพิพากษาให้ริบของกลาง


ข้อสังเกตเกียวกับหลักการค้ำประกันตามมาตรา 680

$
0
0

               1.   ค้ำประกันการทำงาน ถ้าเปลี่ยนตำแหน่งที่มีความเสี่ยงภัยมากขึ้น แล้วทำผิดเมื่อเปลี่ยนตำแหน่งแล้ว ผู้ค้ำประกันไม่ต้องรับผิด                คำพิพากษาฎีกาที่ 8286/2550 ตามสัญญาค้ำประกันข้อ 1 ระบุให้จำเลยที่ 2 ค้ำประกันจำเลย  ที่ 1 ซึ่งสมัครเข้าทำงานในบริษัทโจทก์ตามใบสมัครงานลงวันที่ 5 ตุลาคม 2525 ความรับผิดของจำเลย  ที่ 2 จะต้องเป็นกรณีที่จำเลยที่ 1 ผิดสัญญาจ้างแรงงานต่อโจทก์หรือกระทำละเมิดเกี่ยวกับการทำงานตามจ้างแรงงาน ต่อโจทก์ ในขณะทำงานตำแหน่งเจ้าหน้าที่บุคคลตามที่จำเลยที่ 2 ระบุในสัญญาค้ำประกันข้อ 1 แม้ว่าสัญญาค้ำประกันข้อ 4. ระบุว่าจำเลยที่ 2 ยินยอมและตกลงด้วยว่าหากโจทก์ โยกย้าย  แต่งตั้ง สับเปลี่ยน หรือถอดถอนจำเลยที่ 1 ไปทำงานกับบริษัทในเครือหรือสำนักงานสาขาแห่งใดให้ถือว่าสัญญาค้ำประกันนี้ มีผลบังคับได้เช่นเดิมตลอดไป ก็มีความหมายเพียงว่าจำเลยที่ 2 ในฐานะผู้ค้ำประกันจะต้องรับผิดต่อโจทก์ เมื่อจำเลยที่ 1 กระทำความเสียหายแก่โจทก์ในระหว่างที่จำเลยที่ 1 ทำงานอยู่กับโจทก์หรือบริษัทในเครือของโจทก์ในตำแหน่งเจ้าหน้าที่บุคคลตาม ที่ค้ำประกันไว้เท่านั้น เมื่อโจทก์ให้จำเลยที่ 1 ย้ายจากตำแหน่งเจ้าหน้าที่แผนกบุคคลไปทำหน้าที่พนักงานขาย อันเป็นการเพิ่มความเสี่ยงภัยและความรับผิดให้แก่จำเลยที่ 2 มากขึ้นเกินกว่าที่ระบุไว้ในสัญญาค้ำประกัน และจำเลยที่ 1 ทำให้เกิดความเสียหาย จำเลยที่ 2 จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์
               2.   ผู้ค้ำประกันต้องรับผิดเฉพาะเท่าที่ลูกหนี้ชั้นต้นต้องรับผิด ส่วนใดที่ผู้ลูกหนี้ชั้นต้นไม่ต้องรับผิด ผู้ค้ำประกันก็ไม่ต้องรับผิด
               คำพิพากษาฎีกาที่ 4246/2549  ข้อตกลงตามสัญญาค้ำประกันที่ธนาคารจำเลยทำให้ไว้แก่หน่วยราชการโจทก์เพื่อ ค้ำประกันผู้รับเหมางานของหน่วยราชการโจทก์มิใช่ข้อตกลงที่ให้สิทธิหน่วย ราชการโจทก์ใช้สิทธิเรียกร้องบังคับชำระหนี้ตามสัญญาค้ำประกันโดยไม่คำนึง ว่าบริษัทผู้รับเหมาจะมีหนี้ที่ต้องรับผิดชำระแก่หน่วยราชการโจทก์หรือไม่ จึงต้องพิจารณาว่าบริษัทผู้รับเหมาต้องรับผิดชำระหนี้ต่อหน่วยราชการโจทก์ เพียงใดหรือไม่ก่อน เพราะธนาคารจำเลยต้องรับผิดตามสัญญาค้ำประกันเพียงเท่าที่บริษัทผู้รับเหมา ต้องรับผิดต่อหน่วยราชการโจทก์เท่านั้น
               3.   ผู้ค้ำประกันชำระหนี้แทนลูกหนี้ชั้นต้นไปแล้ว ถ้ายังไม่คุ้มหนี้ ลูกหนี้ชั้นต้นยังต้องรับผิด
               มาตรา 685  ถ้าเมื่อบังคับตามสัญญาค้ำประกันนั้น ผู้ค้ำประกันไม่ชำระหนี้ทั้งหมดของลูกหนี้  รวมทั้งดอกเบี้ย ค่าสินไหมทดแทน และอุปกรณ์ด้วยไซร้ หนี้ยังเหลืออยู่เท่าใด ท่านว่าลูกหนี้ยังคง   รับผิดต่อเจ้าหนี้ในส่วนที่เหลือนั้น
               4.   ผู้ค้ำประกันชำระหนี้ไปแล้วมีสิทธิไล่เบี้ยเอาจากลูกหนี้ชั้นต้นไม้ มาตรา 693 ผู้ค้ำประกันซึ่งได้ชำระหนี้แล้ว ย่อมมีสิทธิที่จะไล่เบี้ยเอาจากลูกหนี้ เพื่อต้นเงินกับดอกเบี้ยและเพื่อการที่ต้องสูญหายหรือเสียหายไปอย่างใดๆ เพราะการค้ำประกันนั้น
               มาตรา 681 วรรคหนึ่ง ค้ำประกันนั้นจะได้แต่เฉพาะเพื่อหนี้อันสมบูรณ์
               ความไม่สมบูรณ์ของหนี้ประธานอันเนื่องมาจากสัญญาที่ก่อให้ เกิดหนี้ประธานไม่ทำตามแบบที่กฎหมายกำหนด เช่น สัญญาเช่าซื้อต้องทำเป็นหนังสือลงลายมือชื่อคู่สัญญาทั้งสองฝ่าย ถ้าหากทำเป็นหนังสือลงลายมือชื่อผู้เช่าซื้อฝ่ายเดียวย่อมเป็นโมฆะ เจ้าของทรัพย์สินที่ให้เช่าซื้อจะฟ้องผู้เช่าซื้อให้รับผิดตามสัญญาได้ไม่ ผู้ค้ำประกันตามสัญญาเช่าซื้อดังกล่าวไม่ต้องรับผิด เพราะการค้ำประกันจะมีได้แต่เฉพาะเพื่อหนี้อันสมบูรณ์ (คำพิพากษาฎีกาที่ 1800/2511)
               ต่างจากกรณีสัญญากู้ซึ่งเป็นกรณีที่หนี้ประธานสมบูรณ์แต่ขาด หลักฐานเป็นหนังสือตามที่กฎหมายกำหนด เช่น กู้ยืมเงินกว่า 2,000 บาท ผู้ให้กู้ส่งมอบหมายให้ผู้กู้แล้ว สัญญาคู่ยืมบริบูรณ์แล้ว ตามามาตรา 650 วรรคสอง “สัญญานี้ (ยืมใช้สิ้นเปลือง) ย่อมมีบริบูรณ์ต่อเมื่อส่งมอบทรัพย์สินที่ยืม” ดังนั้น แม้การกู้ยืมที่มีการส่งมอบเงินกันแล้ว นั้นจะไม่ได้ทำสัญญากันไว้เป็นหนังสือและยังไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือก็มีการ ค้ำประกันหนี้รายนั้นได้ แม้เจ้าหนี้จะฟ้องผู้กู้ไม่ได้เพราะไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือ แต่ถ้าการค้ำประกันนั้นมีหลักฐานเป็นหนังสือ  เจ้าหนี้ก็มีสิทธิฟ้องผู้ค้ำประกันได้ เพียงแต่ผู้ค้ำประกันมีสิทธิตามมาตรา 694 ที่จะยกข้อต่อสู้ของลูกหนี้คือผู้กู้ขึ้นต่อสู้เจ้าหนี้ได้
               สัญญากู้เงินและค้ำประกันที่เป็นเอกสารปลอมถือได้ว่าไม่มี หลักฐานเป็นหนังสือตามมาตรา 653 วรรคแรก และมาตรา 680 วรรคสอง ฟ้องร้องบังคับคดีกันไม่ได้ แต่จำนวนเงินที่ผู้กู้ ได้รับไปแล้วจึงมีอยู่เท่าใด หนี้เงินกู้ยืมส่วนนั้นก็บริบูรณ์หรือสมบูรณ์แล้ว หากมีการจำนองประกันหนี้ จำนองก็ยังสมบูรณ์ตามส่วนที่กู้กันจริง โดยผลของมาตรา 650 วรรคสอง ประกอบมาตรา 681 วรรคแรก และมาตรา 707
               หมายเหตุ  มาตรา 707 ให้นำบทบัญญัติมาตรา 681 ว่าด้วยค้ำประกันมาใช้กับการจำนอง ซึ่งตามมาตรา 681 การค้ำประกันจะมีได้แต่เฉพาะเพื่อหนี้อันสมบูรณ์ และมาตรา 650 วรรคสอง การให้ยืมใช้สิ้นเปลืองนั้น สัญญายืมใช้สิ้นเปลืองย่อมบริบูรณ์ต่อเมื่อส่งมอบทรัพย์สินที่ให้ยืม ดังนั้น แม้สัญญากู้และค้ำประกันจะปลอม ฟ้องบังคับตามสัญญาทั้งสองไม่ได้ แต่การกู้เงินจำนวน 200,000 บาท บริบูรณ์แล้ว จึงมีการจำนองได้และฟ้องบังคับจำนองได้
               กรอกตามที่ตกลงกัน ส่วนต้นเงินยังสมบูรณ์ ส่วนดอกเบี้ยที่เกินอัตราที่กฎหมายกำหนดเป็นโมฆะ ถ้ามีการจำนองประกันหนี้ จำนองสมบูรณ์ในส่วนที่ประกันต้นเงินทั้งนี้โดยผลของมาตรา 650 วรรคสอง ประกอบมาตรา 681 วรรคแรก และมาตรา 707 เช่นกัน
               คำพิพากษาฎีกาที่ 4372/2545 โจทก์นำเงินดอกเบี้ยจำนวน 60,000 บาท ที่จำเลยค้างชำระซึ่งเป็นดอกเบี้ยที่คิดในอัตราร้อยละ 2 ต่อเดือน อันเป็นการฝ่าฝืน พ.ร.บ. ห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตราฯ มาตรา 3 ประกอบด้วย ป.พ.พ. มาตรา 654 ไปรวมเข้ากับต้นเงิน 300,000 บาท ที่กู้ยืม แสดงว่าโจทก์และจำเลยมีเจตนาที่จะแย่งแยกการกู้เงินออกเป็นสองส่วน ส่วนที่หนึ่งคือกู้เงินจำนวน 300,000 บาท อีกส่วนหนึ่ง คือ 60,000 บาท เฉพาะนิติกรรมการกู้ยืมส่วนที่เป็นดอกเบี้ยจำนวน 60,000 บาท เท่านั้น ที่ตกเป็นโมฆะ ส่วนนิติกรรมการกู้ยืมเงินระหว่างโจทก์กับจำเลยในส่วนจำนวน 300,000 บาท ยังคงสมบูรณ์อยู่ตาม ป.พ.พ. มาตรา 173 หนี้กู้ยืมระหว่างโจทก์จำเลยในเงินส่วนนี้จึงเป็นหนี้ที่สมบูรณ์  เมื่อจำเลยจดทะเบียนจำนองที่ดินเป็นประกันหนี้เงินกู้ในวงเงิน 360,000 บาท สัญญาจำนอง ประกันหนี้จึงมีผลใช้บังคับได้ตามจำนวนหนี้ประธานที่สมบูรณ์ คือ จำนวน 300,000 บาท เมื่อโจทก์   บอกกล่าวบังคับจำนองแล้วโจทก์ย่อมมีสิทธิบังคับจำนองในหนี้ส่วนนี้ได้
               มาตรา 681 วรรคสอง หนี้ในอนาคตหรือหนี้มีเงื่อนไข จะประกันไว้เพื่อเหตุการณ์ซึ่งหนี้นั้นอาจเป็นผลได้จริง ก็ประกันได้
               ค้ำประกันและจำนองเป็นประกันหนี้ในอนาคตได้
               คำพิพากษาฎีกาที่ 598/2544  สัญญาค้ำประกันและจำนองเป็นประกันระหว่างโจทก์กับ   จำเลยที่ 2 ตกลงค้ำประกันหนี้ในอนาคตของจำเลยที่ 1 ด้วย เมื่อประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 681 วรรคสอง บัญญัติว่าหนี้ในอนาคตก็ประกันได้ และมาตรา 707 บัญญัติว่าบทบัญญัติมาตรา 681 ว่าด้วยค้ำประกันนั้น ท่านให้ใช้ได้ในการจำนองอนุโลมตามควร ดังนั้น แม้จำเลยที่ 2 ได้ทำสัญญา จำนองและสัญญาค้ำประกันไว้ก่อนที่จำเลยที่ 1 กู้ยืมเงินโจทก์ครั้งที่ 3 ก็ต้องร่วมรับผิดกับจำเลย   ที่ 1 ในหนี้ที่เกิดจากการกู้ยืมเงินครั้งที่ 3 ด้วย (นอกจากนี้ดูคำพิพากษาฎีกาที่ 5133/2550 ค้ำประกันการทำงาน ก่อนการทางจริงก็ได้)
               มาตรา 681 วรรคสาม หนี้อันเกิดแต่สัญญาซึ่งไม่ผูกพันลูกหนี้เพราะทำด้วยความสำคัญผิดหรือเพราะ เป็นผู้ไร้ความสามารถนั้น ก็อาจจะมีประกันอย่างสมบูรณ์ได้ ถ้าหากว่าผู้ค้ำประกันรู้เหตุสำคัญผิดหรือไร้ความสามารถนั้นในขณะที่เข้าทำ สัญญาผูกพันตน
               “สัญญาซึ่งไม่ผูกพันลูกหนี้” หมายถึงสัญญาที่เป็นโมฆียะเพราะลูกหนี้ทำลงโดยสำคัญผิดหรือเป็นคนไร้ความ สามารถ ต่อมามีการบอกล้าง สัญญานั้นจึงไม่ผูกพันลูกหนี้ การค้ำประกันที่ทำไว้จะสมบูรณ์หรือไม่ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขว่าในขณะเข้าทำ สัญญาค้ำประกัน ผู้ค้ำประกันรู้หรือไม่ว่าลูกหนี้ ทำสัญญาด้วยความสำคัญผิดหรือไร้ความสามารถถ้าผู้ค้ำประกันรู้ การค้ำประกันนั้นก็ยังคงสมบูรณ์      ผู้ค้ำประกันต้องรับผิดตามสัญญาค้ำประกัน และไม่มีมีสิทธิยกข้อต่อสู้ของลูกหนี้ขึ้นต่อสู้เจ้าหนี้ตาม   มาตรา 694 เช่น ก. ผู้เยาว์กู้ยืมเงินจาก ข. โดยมี ค. เป็นผู้ค้ำประกัน ขณะทำสัญญาค้ำประกัน ค. รู้อยู่แล้วว่า ก. ผู้เยาว์ไม่ได้รับความยินยอมจากผู้แทนโดยชอบธรรม ต่อมาเมื่อผู้แทนโดยชอบธรรมบอกล้าง สัญญากู้ยืมซึ่งเป็นโมฆียะมีผลทำให้สัญญาผู้ยืมเป็นโมฆะมาแต่แรก ตามมาตรา 176 คู่กรณีตามสัญญากู้ยืมต้องกลับคืนสู่ฐานะเดิม ถ้า ก. ยังไม่คืนเงินให้ ข. ค. ผู้ค้ำประกันยังคงต้องรับผิดตามสัญญาค้ำประกัน
         กฎหมายกำหนดไว้โดยเฉพาะแล้วว่าใครมีสิทธิบอกล้างโมฆียกรรม ดังนั้น ผู้ค้ำประกันจะใช้สิทธิของลูกหนี้บอกล้างโมฆียะกรรมนั้นไม่ได้
               มาตรา 682 วรรคสอง  ถ้าบุคคลหลายคนยอมตนเข้าเป็นผู้ค้ำประกันในหนี้รายเดียวกันไซร้ท่านว่าผู้ ค้ำประกันเหล่านั้นมีความรับผิดชอบลูกหนี้ร่วมกัน แม้ถึงว่ามิได้เข้ารับค้ำประกันรวมกัน    มีความรับผิดชอบอย่างลูกหนี้ร่วมกันแม้ไม่ได้เข้าเป็นผู้ค้ำประกันพร้อม กัน
               คำพิพากษาฎีกาที่ 2243/2536  ผู้ค้ำประกันหลายคนที่เข้าเป็นผู้ค้ำประกันในหนี้รายเดียวกันซึ่งจะต้องรับ ผิดอย่างลูกหนี้ร่วมนั้น ไม่จำต้องเข้าเป็นผู้ค้ำประกันพร้อมกัน จำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างโจทก์ จำเลยที่ 2 เข้าเป็นผู้ค้ำประกันการทำงานเมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2521 จำเลยที่ 3 เข้าเป็นผู้ค้ำประกันเมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2522 โดยให้มีผลย้อนหลังไปตั้งแต่วันที่จำเลยที่ 1 เข้าทำงาน การที่จำเลยที่ 1 ปฏิบัติงานทำให้โจทก์เสียหาย 6 ครั้ง ความเสียหายดังกล่าวถือเป็นหนี้รายเดียวกัน จำเลยที่ 2    และที่ 3 จึงต้องรับผิดต่อโจทก์อย่างลูกหนี้ร่วม
               จะต้องทำบทบัญญัติในเรื่องลูกหนี้ร่วมมาใช้บังคับ แต่ที่เกี่ยวข้องโดยตรงที่ต้องจดจำคือชุดมาตรา ดังนี้
               มาตรา 291  “...เจ้าหนี้ชอบที่จะได้รับชำระหนี้สิ้นเชิงแต่เพียงครั้งเดียว...”
               มาตรา 269 ในระหว่างลูกหนี้ร่วมกันทั้งหลายนั้น ท่านว่าต่างคนต่างต้องรับผิดเป็นส่วนเท่าๆ กัน เว้นแต่จะได้กำหนดไว้เป็นอย่างอื่น ถ้าส่วนที่ลูกหนี้ร่วมกันคนใดคนหนึ่งจะพึงชำระนั้นเป็นอันจะเรียกเอาจากคน นั้นไม่ได้ไซร้ ยังขาดจำจำนวนอยู่เท่าไร ลูกหนี้คนอื่นๆ ซึ่งจำต้องออกส่วนด้วยนั้น ก็ต้องรับใช้ แต่ถ้าลูกหนี้ร่วมกันคนใดเจ้าหนี้ได้ปลดให้หลุดพ้นจากหนี้อันร่วมกันนั้น แล้ว ส่วนที่ลูกหนี้ คนนั้นจะพึงต้องชำระหนี้ก็ตกเป็นพับแก่เจ้าหนี้ไป
               มาตรา 293 การปลดหนี้ให้แก่ลูกหนี้ร่วมกันคนหนึ่งนั้น ย่อมเป็นไปเพื่อประโยชน์แก่ลูกหนี้คนอื่นๆ เพียงเท่าส่วนของลูกหนี้ที่ได้ปลดให้เว้นแต่จะได้ตกลงกันเป็นอย่างอื่น
               มาตรา 229  “การรับช่วงสิทธิย่อมมีขึ้นด้วยอำนาจกฎหมายและย่อมสำเร็จเป็นประโยชน์แก่ บุคคลอังจะกล่าวต่อไปนี้คือ...(3) บุคคลผู้มีความผูกพันร่วมกับผู้อื่นหรือเพื่อผู้อื่นในอันจะต้องใช้หนี้มี ส่วนได้เสียด้วยในการใช้หนี้นั้น จะเข้าใช้หนี้นั้น”
               คำพิพากษาฎีกาที่ 1876/2551 จำเลยที่ 1 ทำสัญญากู้ยืมไว้กับธนาคารเจ้าหนี้ จำนวน 4,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ย โดยมีโจทก์ จำเลยที่ 2 และที่ 3 กับพวกอีก 6 คน เป็นผู้ค้ำประกันในวงเงินต่างกัน โดยยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมตาม ป.พ.พ. มาตรา 682 วรรคสอง เมื่อโจทก์ชำระหนี้แทนจำเลยที่ 1 ไปจำนวน 4,880,000 บาท ให้แก่ ธนาคารเจ้าหนี้ โจทก์ย่อมมีสิทธิไล่เบี้ยจำเลยที่ 1 และเข้ารับช่วงสิทธิของธนาคารเจ้าหนี้ไล่เบี้ยผู้ค้ำประกันอื่นได้ตามสัด ส่วนที่ผู้ค้ำประกันแต่ละคนเข้าผูกพันชำระหนี้ตาม มาตรา 693 ประกอบมาตรา 229 (3), 296 เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังได้แล้วว่า จำเลยที่ 3 ต้องร่วมรับผิดชอบกับจำเลยที่ 2 ตามสัดส่วนที่ทำสัญญาค้ำประกันไว้ ในวงเงินเพียง 500,000 บาท และมียอดหนี้คำนวณถึงวันฟ้องคดีนี้ไม่ถึง 1,000,000 บาท ฟ้องโจทก์จึงไม่ชอบด้วย พ.ร.บ. ล้อมละลายฯ มาตรา 9 (2)

               คำพิพากษาฎีกาที่ 2541/2544  จำเลยและ ส. ได้ทำสัญญาค้ำประกันการกู้เงินของบริษัท อ. จำกัด โดยยอมรับผิดต่อโจทก์อย่างลูกหนี้ร่วม จำเลยและ ส. ได้จดทะเบียนของจำนวนที่ไว้เป็นประกัน ต่อมาจำเลยได้ขายที่ดินที่จำนองเป็นประกันหนี้ไป และ ส. ได้ชำระหนี้แก่โจทก์จำนวนหนึ่งซึ่งโจทก์ก็ได้ออกหนังสือปลดหนี้แก่ ส. แล้ว จำเลยซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันร่วมในหนี้รายเดียวกันย่อมต้องรับผิดอย่างลูกหนี้ ร่วมกันตาม ป.พ.พ. มาตรา 682 วรรคสอง เมื่อบทบัญญัติในลักษณะค้ำประกันมิได้กำหนดความรับผิดชอบผู้ค้ำประกันต่อกัน ไว้ จึงต้องใช้หลักทั่วไปตาม ป.พ.พ. มาตรา 229 และ 296 การที่โจทก์สละสิทธิต่อ ส. ย่อมมีผลทำให้หนี้ส่วนที่เหลือสำหรับ ส. ระงับไปตาม ป.พ.พ. 340 และย่อมมีผลให้หนี้สำหรับจำเลยซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันว่าระงับไปด้วย ตาม ป.พ.พ. มาตรา 293
               สำหรับความผิดของผู้ค้ำประกันที่มีต่อเจ้าหนี้ต้องเป็นไปตาม สัญญาค้ำประกันต้องรับผิดชอบต่อเจ้าหนี้เต็มจำนวนตามมาตรา 291 แล้วจึงมาไล่เบี้ยจากผู้ค้ำประกันอื่นตามมาตรา 229 (3) ประกอบมาตรา 296
               คำพิพากษาฎีกาที่ 359/2509 ในระหว่างผู้ค้ำประกันด้วยกันบทบทบัญญัติลักษณะค้ำประกันไม่ได้กำหนดความรับ ผิดต่อไว้ จึงต้องใช้หลักทั่วไปตามมาตรา 229, 296 ในกรณีผู้ค้ำประกันสองคน      ผู้ค้ำประกันคนหนึ่งชำระหนี้ทั้งหมดแทนลูกหนี้ไปย่อมรับช่วงสิทธิของ เจ้าหนี้ไล่เบี้ยแก่ผู้ค้ำประกันอีกคนหนึ่งได้กึ่งหนึ่ง (นอกจากนี้ดูคำพิพากษาฎีกาที่ 2111/2551)
               แต่ผู้ค้ำประกันคนที่ชำระหนี้ไปแล้ว  ถ้าได้ไปทำสัญญาแปลงหนี้กับลูกหนี้เดิมไปแล้ว     ไล่เบี้ยกับผู้ค้ำประกันร่วมไม่ได้อีกแล้ว
               เจ้าหนี้ปลดหนี้ให้ผู้คำรายหนึ่งย่อมเป็นประโยชน์แก่ผู้ค้ำ คนอื่นเพียงเท่าส่วนที่ผู้ค้ำรายนั้นต้องการรับผิดตามมาตรา 293 นอกจากนี้ตามมาตรา 296 ในกรณีที่ปลดหนี้ให้แก่ผู้ค้ำประกันคนหนึ่ง หนี้ส่วนของผู้ค้ำประกันคนนั่นตกเป็นพับแก่เจ้าหนี้
               ตอนท้ายของมาตรา 296 “ปลดให้หลุดพ้นจากหนี้อันร่วมกันนั้น ส่วนที่ลูกหนี้คนนั้นจะต้องชำระตกเป็นพับแก่เจ้าหนี้ไป”
               คำพิพากษาฎีกาที่ 2111/2551  ผู้ค้ำประกันร่วมในหนี้รายเดียวกันย่อมต้องรับผิดอย่างลูกหนี้  ร่วมตาม ป.พ.พ. มาตรา 682 วรรคสอง เมื่อบทบัญญัติในลักษณะค้ำประกันมิได้กำหนดความรับผิดของผู้ประกันมิได้ กำหนดความรับผิดของผู้ค้ำประกันต่อกันไว้จึงต้องใช้หลักทั่วไปตามมาตรา 229 และมาตรา 296  การที่เจาหนี้ยอมรับการชำระหนี้จากผู้ค้ำประกันรายหนึ่งเป็นเงิน 500,000 บาท และปลดหนี้ให้โดยการถอนฟ้องผู้ค้ำประกันรายแรกที่ได้ปลดไปเท่านั้น  ผู้ค้ำประกันรายแรกไม่ต้องรับผิดต่อเจ้าหนี้อีกต่อไปเพราะหนี้ส่วนที่เหลือ สำหรับผู้คำประกันรายแรกระงับไปแล้วตามมาตรา 340 ดังนั้น หากต่อมาผู้ค้ำประกันรายที่หลังชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้ไปเพียงใดไม่อาจใช้ สิทธิไล่เบี้ยเอาแก่ผู้ค้ำประกันรายแรกได้อีกต่อไป
               หมายเหตุ หลักเรื่องไล่เบี้ยนี้ไม่นำไปใช้ในเรื่องจำนองและจำนำ ผู้จำนองหรือผู้จำนำที่ชำระหนี้ไปแล้วไม่มีสิทธิไล่เบี้ยผู้จำนองหรือผู้ จำนำรายอื่น เพราะบทบัญญัติในมาตรา 682 เกี่ยวกับความรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมของผู้ค้ำประกันหลายคนไม่นำไปใช้ใน เรื่องจำนองและจำนำ
               มาตรา 683  อันค้ำประกันอย่างไม่มีจำกัดนั้นย่อมคุ้มถึงดอกเบี้ยและค่าสินไหมทดแทนซึ่ง ลูกหนี้ค้างชำระ ตลอดจนค่าภาระติดพันอันเป็นอุปกรณ์แห่งหนี้รายนั้นด้วย
               ค้ำประกันโดยระบุวงเงิน ผู้ค้ำประกันต้องรับผิดในต้นเงินตามวงเงินที่ระบุและดอกเบี้ยตามที่ระบุใน สัญญา (คำพิพากษาฎีกาที่ 2730/2534 และ  382/2537)
               หมายเหตุ  สรุปได้ว่า
               1.   ถ้าเขียนคำว่า “ค้ำประกันวงเงิน 100,000 บาท” ก็หมายถึงต้องชำระต้นเงิน 100,000 บาท บวกดอกเบี้ยตามสัญญากู้
               2.   ถ้าเขียนว่า “ค้ำประกันทั้งต้นเงินดอกเบี้ยรวมทั้งอุปกรณ์แห่งหนี้ไม่เกิน 100,000 บาท” ก็หมายถึงรวมทุกอย่างแล้วไม่เกิน 100,000 บาท                3.   หลักตามคำพิพากษาฎีกาที่ 3347/2529 ออกขอสอบไปแล้ว ในการสอบสมัย 69 ปี 2546 โดยโยงไปมาตรา 701 คือผู้ค้ำของปฏิบัติการชำระหนี้ในกรณีที่สัญญาค้ำประกันเขียนไว้ว่า “ค้ำประกันทั้งต้นเงินดอกเบี้ยรวมทั้งอุปกรณ์แห่งหนี้ไม่เกิน 100,000 บาท” แต่เจ้าหนี้ไม่ยอมรับ ผู้ค้ำประกันจึงหลุดพ้นความรับผิด
               4.   มาตรา 727 จำนองให้เอามาตรา 701 ไปใช้ด้วย
               5.   ผู้ค้ำประกันไล่เบี้ยกันเอง ไล่เบี้ยได้ 50,000 บวกดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่ผู้ค้ำประกันอีกรายผิดนัด
               มาตรา 686 ลูกหนี้ผิดนัดลงเมื่อใด ท่านว่าเจ้าหนี้ชอบที่จะเรียกให้ผู้ค้ำประกันชำระหนี้ได้      แต่นั้น
               แม้ผู้ค้ำประกันจะไม่ได้รับหนังสือทวงถามก่อนฟ้องเลย ก็มีอำนาจฟ้องผู้ค้ำประกัน
               คำพิพากษาฎีกาที่ 2790/2549 ห้างหุ้นส่วนจำกัด อ. ตกเป็นผู้ผิดนัดตั้งแต่วันที่ 24 เมษายน 2533 ซึ่งเป็นวันครบกำหนดตามสัญญาจ้างเหมาก่อสร้างอาคารที่ต่ออายุสัญญาออกไป โจทก์มีสิทธิเรียกให้จำเลยในฐานะผู้ค้ำประกันการชำระหนี้ได้นับแต่วันที่ 25 เมษายน 2533  ความรับผิดตามสัญญาค้ำประกันไม่มีกฎหมายบัญญัติอายุความไว้โดยเฉพาะจึงอา ยุความ 10 ปี โจทก์ฟ้องคดีเพื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน 2542 ยังไม่เกิน 10 ปี ฟ้องโจทก์ยังไม่ขาดอายุความ
               เพียงการไม่ชำระดอกเบี้ยตามกำหนดนัด หรือผิดนัดชำระหนี้เพียงงวดใดงวดหนึ่งก็ถือ เป็นการผิดนัดแล้ว ฟ้องผู้ค้ำประกันให้ชำระหนี้ได้เลยทันที (คำพิพากษาฎีกาที่ 536/2513, 3027/2528, 521/2510 ประชุมใหญ่)
               มาตรา 687 ผู้ค้ำประกันไม่จำต้องชำระหนี้ก่อนถึงเวลากำหนดที่จะชำระแม้ถึงว่าลูกหนี้จะ       ไม่อาจถือเอาซึ่งประโยชน์แห่งเงื่อนเวลาเริ่มต้นหรือเวลาสุดสิ้นได้ ต่อไปแล้ว
               กรณีที่ลูกหนี้ไม่อาจถือประโยชน์แห่งเงื่อนเวลา ได้แก่กรณีลูกหนี้ประโยชน์แห่งเงื่อนเวลา ตามที่บัญญัติไว้ใน ป.พ.พ. มาตรา 192 ตัวอย่างที่สำคัญของการสละประโยชน์แห่งเงื่อนเวลาได้แก่กรณีที่เมื่อถูกทวง ถามหรือฟ้องใช้ชำระหนี้เงินกู้แล้วไม่ได้ ปฏิเสธว่าหนี้ยังไม่ถึงกำหนด แต่กลับปฏิเสธว่าไม่ได้เป็นหนี้
               หมายเหตุ แม้ลูกหนี้ชั้นต้นคือผู้กู้ไม่อาจถือเอาซึ่งประโยชน์แห่งเงื่อนเวลา แต่ผู้ค้ำประกันก็ยังถือประโยชน์จากมาตรา 687 ได้
               มาตรา 690  ถ้าเจ้าหนี้มีทรัพย์ของท่านว่าเจ้าหนี้จะต้องใช้ชำระหนี้เอาจากทรัพย์ซึ่ง เป็นประกันนั้นก่อนลูกหนี้ยึดถือไว้เป็นประกันไซร้ เมื่อผู้ค้ำประกันร้องขอ                   
มาตรา 692  อายุความสะดุดหยุดลงเป็นโทษแก่ลูกหนี้นั้น ย่อมเป็นโทษแก่ผู้ค้ำประกันด้วย
               หมายเหตุ  การที่เป็นผู้ค้ำประกัน (ในหนี้ค่าจ้างทำของ) โดยยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วม มีผลเป็นเพียงสละสิทธิบางประการที่ผู้ค้ำประกันอาจยกขึ้นมาต่อสู้เจ้าหนี้ เท่านั้น แต่ยังอยู่ในฐานะผู้ค้ำประกัน เมื่อหนี้ถึงกำหนดชำระแล้ว 1 ปี ลูกหนี้ชำระหนี้ให้เจ้าหนี้ไปบางส่วน อายุความย่อสะดุดหยุดลงตามมาตรา 193/14ผ1) และเหตุที่อายุความสะดุดหยุดลงเป็นโทษแก่ลูกหนี้ย่อมเป็นโทษแก่ผู้ค้ำประกัน ด้วย ตามมาตรา 692 จะนำมาตรา 295 ที่ว่ากำหนดอายุความย่อมเป็นคุณเป็นโทษเฉพาะแก่ลูกหนี้คนนั้นในเรื่อง ลูกหนี้ร่วมมาในบังคับในกรณีนี้ไม่ได้ หนี้ค่าจางจึงยังไม่ขาดอายุความ
               เมื่อลูกหนี้หรือทายาทของลูกหนี้ทำหนังสือรับสภาพหนี้ก็ทำ ให้อายุความสะดุดหยุดลงและมีผลถึงผู้ค้ำประกันด้วย               คำพิพากษาฎีกาที่ 1887/2506 สัญญาค้ำประกันมีข้อความว่า เมื่อลูกหนี้ตายผู้ค้ำประกันยอมเป็นลูกหนี้ร่วม ย่อมหมายความว่าผู้ประกันยอมเข้าเป็นลูกหนี้ร่วมในหนี้ของลูกหนี้ซึ่งจะตก ทอดไปยังทายาทของลูกหนี้ เมื่อปรากฏว่าทายาทของลูกหนี้ได้ทำหนังสือรับสภาพหนี้ไว้ก่อนอายุความ     1 ปี  สิ้นสุดลง ผู้ค้ำประกันก็ย่อมเป็นลูกหนี้ร่วมกับทายาทนั้นต่อไปตามจำนวนหนี้ที่ค้ำ ประกันไว้และใช้อายุความตามมูลหนี้เดิม
               แต่ถ้าผู้ค้ำประกันเองเป็นผู้ทำให้อายุความสะดุดหยุดเองลง ก็จะไม่มีผลถึงลูกหนี้ด้วย
               คำพิพากษาฎีกาที่ 1438/2540  การที่ ว. ผู้ค้ำประกันซึ่งเป็นลูกหนี้ร่วมคนหนึ่งได้ชำระให้แก่เจ้าหนี้ ย่อมทำให้อายุความสะดุดหยุดลงโทษแก่ผู้ค้ำประกัน ไม่มีกฎหมายบัญญัติให้มีผลไปถึงลูกหนี้ด้วย แม้ลูกหนี้ทั้งสองจะต้องรับผิดร่วมกับผู้ค้ำประกัน กำหนดอายุความของลูกหนี้แต่ละคนก็ต้องเป็นไปเพื่อคุณและโทษเฉพาะลูกหนี้คน นั้นการที่ ว. ชำระหนี้ให้เจ้าไม่มีผลทำให้อายุความของลูกหนี้    ทั้งสองสะดุดหยุดลง
               แต่ถ้าเป็นกรณีที่ลูกหนี้สละประโยชน์แห่งอายุความ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/24 หรือลูกหนี้รับสภาพความรับผิดตาม มาตรา 193/28 กฎหมายทั้งสองมาตราบัญญัติว่าไม่ถือเป็นโทษแก่    ผู้ค้ำประกันด้วย ดังนั้น หากลูกหนี้สละประโยชน์แห่งอายุความหรือรับสภาพความรับผิดต่อเจ้าหนี้ ผู้ค้ำประกันก็ยกอายุความนั้นต่อสู้ลูกหนี้ได้
               มาตรา 693 ผู้ค้ำประกันซึ่งได้ชำระหนี้แล้ว ย่อมมีสิทธิที่จะไล่เบี้ยมาจากลูกหนี้ เพื่อต้นเงินกับดอกเบี้ยและเพื่อการที่ต้องสูญหายหรือเสียหายไปอย่างใดๆ เพราะการค้ำประกันนั้น
               อนึ่งผู้ค้ำประกันย่อมเข้ารับช่วงสิทธิของเจ้าหนี้บรรดามีเหนือลูกหนี้ด้วย
               เจ้าหนี้ไม่มีสิทธิเหนือทรัพย์สินของลูกหนี้ที่ไม่ได้เป็น ประกันหนี้ ผู้ค้ำประกันจึงไม่อาจรับช่วงสิทธิเหนือทรัพย์นั้น ถ้าจะบังคับชำระหนี้เอาจากทรัพย์นั้น ต้องฟ้องให้ลูกหนี้ชำระหนี้ตามมาตรา 693 วรรคหนึ่ง ไม่ใช้วรรคสอง
               คำพิพากษาฎีกาที่ 10700/2546  แม้ในวรรคสองบัญญัติว่าผู้ค้ำประกันย่อมเข้ารับช่วงสิทธิของลูกหนี้บรรดามี เหนือลูกหนี้ด้วยและสัญญาค้ำประกัน ข้อ 3 ระบุ ให้ผู้ค้ำประกันมีสิทธิได้รับช่วงสิทธิทั้งหลายที่เจ้าของมีอยู่ในปัจจุบัน ไม่ว่าตามกฎหมายหรือตามสัญญาเกี่ยวกับสัญญาเช่าซื้อก็ตาม ก็คงมีความหมายเพียงว่าผู้ค้ำประกันซึ่งเป็นผู้รับช่วงสิทธิของเจ้าหนี้ชอบ ที่จะใช้สิทธิทั้งหลายบรรดาที่เจ้าหนี้มีอยู่โดยมูลหนี้ รวมทั้งประกันแห่งหนี้นั้นได้ ได้ในนามของของตนเองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 226 บัญญัติไว้เท่านั้น การที่โจทก์ผู้ค้ำประกันตามสัญญาเช่าซื้อเข้ารับช่วงสิทธิของจำเลยที่ 1 ผู้ใช้เช่าซื้อบรรดามีเหนือจำเลยที่ 2 ผู้เช่าซื้อหาทำให้โจทก์มีสิทธิในรถจักรยานยนต์ที่จำเลยที่ 2 เช่าซื้อไปจากจำเลยที่ 1 ไม่ เนื่องจากรถจักรยานยนต์ ดังกล่าวได้ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่ 2 เมื่อโจทก์ได้ชำระค่าเช่าซื้อแทนจำเลยที่ 2 ไปแล้ว โดยผลของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 572 โจทก์ ไม่อาจใช้สิทธิของจำเลยที่ 1 บอกเลิกสัญญาเช่าซื้อแก่จำเลยที่ 2 ทั้งไม่มีสิทธิฟ้องบังคับให้จำเลยที่ 1 จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ทางทะเบียนรถจักรยานยนต์ และฟ้องบังคับให้จำเลยที่ 2 ส่งมอบรถจักรยานยนต์แก่โจทก์ เมื่อโจทก์ไม่ได้ฟ้องไล่เบี้ยเอาจากจำเลยที่ 2 เพื่อต้นเงินและดอกเบี้ยที่โจทก์ชำระแทนไปตามสิทธิของโจทก์ ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษายกฟ้องโจทก์จึงชอบแล้ว

               มาตรา 694  นอกจากข้อต่อสู้ซึ่งผู้ค้ำประกันมีต่อเจ้าหนี้นั้น ท่านว่าผู้ค้ำประกันยังอาจยกข้อต่อสู้ทั้งสองซึ่งลูกหนี้มีต่อเจ้าหนี้ขึ้น ต่อสู้ได้ด้วย
               ถ้าเป็นข้อต่อสู้ของผู้ค้ำประกันเอง ผู้ค้ำประกันมีสิทธิยกขึ้นต่อสู้ได้เป็นธรรมดาอยู่แล้ว  เช่น ต่อสู้ว่าสัญญาค้ำประกันไม่สมบูรณ์ สัญญาค้ำประกันไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือ หรือไม่ปิดอากรแสตมป์ หรือมีการบอกเลิกสัญญาค้ำประกันแล้วตามมาตรา 699 หรือมีการผ่อนเวลาให้ลูกหนี้ ผู้ค้ำประกันจึงไม่ต้องรับผิดตามมาตรา 700
               ข้อต่อสู้ของลูกหนี้ เช่น ลูกหนี้ไม่ได้ผิดสัญญา การชำระหนี้เป็นการพ้นวิสัยลูกหนี้ไม่ได้ทำละเมิด หนี้ระงับแล้ว หรือหนี้ขาดอายุความ ข้อต่อสู้ต่างๆ เหล่านี้เป็นข้อต่อสู้ของลูกหนี้ซึ่งกฎหมายบัญญัติให้ผู้ค้ำประกันยกขึ้น ต่อสู้เจ้าหนี้ได้
               แม้ผู้ค้ำประกันตกลงได้ว่าขอสละสิทธิในข้อต่อสู้ต่างๆ ในฐานะของผู้ค้ำประกันที่จะพึงมีความกฎหมาย ไม่ทำให้ผู้ค้ำประกันเปลี่ยนฐานะเป็นลูกหนี้ชั้นต้นหรือหมดสิทธิที่จะยกข้อ ต่อสู้ ของลูกหนี้ที่มีต่อเจ้าหนี้ขึ้นต่อสู้ด้วย             
               คำพิพากษาฎีกาที่ 247/2541 จำเลยเป็นผู้ค้ำประกันย่อมมีสิทธิตามมาตรา 694 ที่ยังอาจยกข้อต่อสู้ทั้งหลายซึ่งลูกหนี้มีต่อเจ้าหนี้ขึ้นต่อสู้ได้ด้วย ซึ่งตามบทบัญญัติดังกล่าวไม่มีข้อความตอนใดที่จะแสดงให้เห็นว่าข้อต่อสู้ที่ ลูกหนี้มีต่อเจ้าหนี้ ซึ่งผู้ค้ำประกันจะยกขึ้นได้ ต้องไม่เกี่ยวกับเรื่องอายุความมรดก ทั้งคดีนี้ไม่ใช่คดีมรดกเป็นเรื่องโจทก์ฟ้องจำเลยให้รับผิดในฐานะผู้ค้ำ ประกัน จำเลยย่อมใช้สิทธิตามมาตรา 694 ได้ จึงไม่เกี่ยวกับว่าจำเลยจะเป็นบุคคลตามที่ระบุไว้ใน มาตรา 1755 หรือไม่ เมื่อขอเท็จจริงได้ความว่าโจทก์มิได้ใช้สิทธิเรียกร้องต่อกองมรดกของ อ. ภายใน 1 ปี นับแต่ทราบว่า อ. ถึงแก่ความตาย สิทธิเรียกร้องของโจทก์ต่อกองมรดกของ อ. จึงขาดอายุความ ตามมาตรา 1754 วรรคสาม  จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดชำระหนี้ตามฟ้อง
   คำถาม            เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2540 ก. กู้เงิน ข. 1,000,000 บาท ตกลงดอกเบี้ยสูงสุดตามกฎหมายนับแต่วันกู้  กำหนดชำระหนี้ในวันที่ 1 กรกฎาคม 2541 โดยมี ค. ทำหนังสือค้ำประกันมีข้อความว่า หาก ก. ถึงแก่กรรม ค. ก็ยังคงเป็นลูกหนี้ร่วมกับทายาทของ ก. ก. ตาย เมื่อ 1 กันยายน 2540 โดย ข. ไปรดน้ำศพในวันเดียวกัน ต่อมา  2 กันยายน 2542 ข. มีหนังสือทวงให้ ง. ทายาทของ ก. ชำระ ง. มีหนังสือ ตอบไปว่ายินยอมชำระให้ทั้งต้นเงินและดอกเบี้ยจนครบถ้วน แต่ยังรอรายได้จากการขายที่ดินขอผลัดไปก่อนอีกสัก 3 เดือน ต่อมาครบ 3 เดือน ง. ก็ยังไม่ชำระ วันที่ 2 ธันวาคม 2542 ข. ฟ้อง ง. และ ค. เรียกให้ชำระหนี้ดังกล่าว ทั้ง ง. และ ค. ยกอายุความตามมาตรา 1754 วรรคสาม ว่าฟ้องเกิน 1 ปี นับแต่ลูกหนี้ถึงแก่ความตายขึ้นต่อสู้
               วินิจฉัยว่า ค. และ ง. ต้องรับผิดชำระเงินหรือไม่เพียงใด
   ธงคำตอบ                ส่วนของ ง. เท่ากับทำหนังสือรับสภาพความผิด ตามมาตรา 193/28 จึงยังต้องรับผิดแม้ฟ้องขาดอายุความ โดยรับผิดในต้นเงิน 1,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันกู้เพราะคำว่าดอกเบี้ยสูงสุดตามกฎหมายเป็นการตกลงให้คิดดอกเบี้ย แต่ไม่ชัดเจนว่าคิดกันเพียงใด จึงคิดได้ร้อยละ 7.5 ต่อปี ตาม ป.พ.พ. มาตรา  7
               ส่วนของ ค. หนังสือรับสภาพความผิดเป็นเรื่องสิทธิเรียกร้องขาดอายุความแล้ว ไม่ใช่อายุความสะดุดหยุดลง ตามมาตรา 692 ซึ่งจะเป็นโทษแก่ผู้ค้ำประกัน ค. ผู้ค้ำประกันจึงยกข้อต่อสู้เรื่องขาดอายุความมรดกขึ้นต่อสู้ได้ตามมาตรา 694 การตกลงยอมเป็นลูกหนี้ร่วมกับทายาทของ ก.ไม่ทำให้ ค. หมดสิทธิยกข้อต่อสู้เรื่องฟ้องขาดอายุความแล้วขึ้นต่อสู้
               สัญญาค้ำประกันมีข้อยกเว้นว่าแม้ลูกหนี้ตายเกิน 1 ปี ผู้ค้ำประกันยังต้องรับผิดข้อตกลงดังกล่าวใช้บังคับได้
               คำพิพากษาฎีกาที่ 9467/2544  ป.พ.พ. มาตรา 694 มิใช่เป็นบทบังคับเด็ดขาดเปลี่ยนแปลงไม่ได้เสียเลย การที่ผู้ค้ำประกันยอมผูกพันตนให้รับผิดในหนี้ที่ขาดอายุความเรียกร้องจาก ลูกหนี้แล้วจึงอาจกระทำได้ ไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชน และมิใช่เป็นการงดใช้หรือขยายอายุความตามมาตรา 193/11 การที่จำเลยที่ 2 ทำสัญญาค้ำประกันตกลงกันโจทก์ว่าถ้าผู้กู้ตายเกิน 1 ปี ผู้ค้ำประกันยอมชำระหนี้แทนจนครบถ้วนซึ่งมีความหมายว่าเป็นกรณีที่ผู้ค้ำ ประกันจะไม่ยกอายุความของลูกหนี้ขึ้นต่อสู้ มิใช่ตกลงว่าจะไม่ยกอายุความของผู้ค้ำประกันเองขึ้นเป็นข้อต่อสู้ อันจะถือว่าผู้ค้ำประกันสละประโยชน์แห่งอายุความของผู้ค้ำประกันไว้ก่อน ตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/24 จึงมีผลบังคับกันได้ตามกฎหมาย (คำพิพากษาฎีกาที่ 1785/2505 ตัดสินไว้ทำนองเดียวกัน)
               หมายเหตุ 1 ป.พ.พ. มาตรา 193/11 บัญญัติว่า “อายุความที่กฎหมายกำหนดไว้นั้น คู่กรณีจะตกลงกันได้งดใช้หรือขยายออกหรือย่นเข้าไม่ได้” แต่ตามคำพิพากษาฎีกานี้ไม่ใช่เป็นการตกลงขยายอายุความ หากแต่เป็นข้อตกลงที่จะไม่ยกข้อต่อสู้ของลูกหนี้ชั้นต้นขึ้นต่อสู้เจ้าหนี้ กรณีเช่นนี้ตกลงกันได้ แต่ข้อตกลงต้องชัดแจ้ง หากมีข้อความไม่ชัดแจ้ง ก็แปลไม่ได้ว่าผู้ค้ำประกันยอมสละสิทธิไม่ยกอายุความขึ้นต่อสู้        
               แต่การที่จะถือว่าผู้ค้ำประกันตกลงจะไม่ยกอายุความของลูกหนี้ขึ้นต่อสู้ ต้องเขียนไว้ในสัญญาค้ำประกันให้ชัด
               คำพิพากษาฎีกาที่ 2937/2538  สัญญาค้ำประกันระบุไว้เพียงว่า หาก ต. ลูกหนี้ไม่ชำระหนี้ให้เสร็จสิ้นตามระยะเวลาที่กำหนดไว้ก็ดี ถึงแก่กรรมก็ดี ไปจากถิ่นฐานที่อยู่ หรือหาตัวไม่พบก็ดี หรือมีกรณีอื่นใด อันเป็นเหตุให้โจทก์ไม่ได้รับชดใช้เงินแม้จำเลยจะเป็น ผู้รับผิดชอบชดใช้แทนให้จนครบกำหนดโดยไม่ได้มีข้อความ ระบุว่าผู้ค้ำประกันยอมสละสิทธิที่จะไม่ยกอายุความขึ้นต่อสู้ ข้อตกลงที่ว่า หาก ต. ถึงแก่กรรมจำเลยจะชำระหนี้แทนไม่ใช่ ข้อยกเว้นที่จำเลยยอมสละสิทธิที่จะไม่ยกอายุความขึ้นต่อสู้ เมื่อ ต. ถึงแก่ความตาย จำเลยผู้ค้ำประกันถึงยกอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1754 วรรคสาม ขึ้นต่อสู้โจทก์ได้
               คำพิพากษาฎีกาที่ 4356/2545 ข้อตกลงในสัญญาค้ำประกันที่ระบุว่า ผู้กู้ไม่ชำระต้นทุนและดอกเบี้ยให้ผู้ให้กู้ตามสัญญา ผู้กู้ถึงแก่กรรมหรือหนี้ระงับด้วยเหตุหนึ่งเหตุใด ผู้ค้ำประกันยอมรับผิดชำระหนี้แทนให้ทั้งสิ้น เพียงแต่กำหนดให้ผู้ค้ำประกันจะต้องรับผิดแม้ผู้กู้ถึงแก่กรรมหรือหนี้ระงับ ไปแล้วหรือผู้กู้ไม่ชำระหนี้เท่านั้น แต่ไม่ได้กำหนดรวมไปถึงเรื่องการสละสิทธิยกอายุความขึ้นต่อสู้ไว้ด้วย ดังนั้น ผู้ค้ำประกันจึงมีสิทธิยกอายุความมรดกขึ้นต่อสู้ได้เมื่อผู้กู้ถึงแก่กรรม (คำพิพากษาฎีกาที่ 964/2512 ตัดสินไว้ในทำนองเดียวกัน)

               คำพิพากษาฎีกาที่ 5413/2549 จำเลยเป็นผู้ค้ำประกันหนี้ของห้างหุ้นส่วน จำกัด ว. ที่มีต่อโจทก์ตามสัญญาเช่าแบบลิสซิ่งโดยตกลงสละสิทธิของจำเลยอันมีอยู่ตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 694 จำเลยจึงไม่อาจยกอายุความเกี่ยวกับความรับผิดตามสัญญาเช่าแบบลิสซิ่งของห้าง หุ้นส่วนจำกัด ว. ตามมาตรา 653 และมาตรา 1272 ขึ้นต่อสู้โจทก์ได้
               มาตรา 697  ถ้าเพราะการกระทำอย่างใดอย่างหนึ่งของเจ้าหนี้เป็นเหตุให้ผู้ค้ำประกันไม่ อาจเข้ารับช่วงได้ทั้งหมดหรือแต่บางส่วนในสิทธิก็ดีจำนองก็ดี จำนำก็ดี และบุริมสิทธิอันได้ให้ไว้แก่เจ้าหนี้ แต่ก่อนหรือในขณะทำสัญญาค้ำประกันเพื่อชำระหนี้นั้น ท่านว่าผู้ค้ำประกันย่อมหลุดพ้นจากความรับผิดเพียงเท่าทีที่ตนต้องเสียหาย เพราะการนั้น
               มอบโฉนดไม่ก่อให้เกิดสิทธิใดๆ ทางทรัพย์ เจ้าหนี้ส่งคืน ไม่ทำให้ผู้ค้ำประกันหลุดพ้น
              คำพิพากษาฎีกาที่ 2718/2515 มอบโฉนด ไม่ทำให้เข้าหนี้มีสิทธิใดๆ ในตัวทรัพย์คือที่ดินตามโฉนด การที่เจ้าหนี้คืนโฉนดให้แก่ลูกหนี้ จึงไม่เป็นเหตุให้ผู้ค้ำประกันพ้นความรับผิด
               มาตรา 697 มิใช่กฎหมายอันเกี่ยวกับความสงบ ผู้ค้ำประกันและเจ้าหนี้อาจจะตกลงกันเป็นอย่างอื่นได้
               คำพิพากษาฎีกาที่  8154/2540 จำเลยที่ 1 เป็นหนี้โจทก์ ตามสัญญากู้เงินส่วนจำเลยที่ 2 และที่ 3 มีความรับผิดต่อโจทก์ในฐานะผู้ค้ำประกันการกู้เงินดังกล่าว โดยยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมกับจำเลยที่ 1 ภายในวงเงินที่จำเลยที่ 2 และที่ 3 ค้ำประกันไว้ ซึ่งตามหนังสือสัญญาค้ำประกันระบุว่า “นอกจากนี้ผู้ค้ำประกันย่อมไม่พ้นจากความรับผิด เพราะเหตุธนาคารอาจกระทำการใดๆ ไปเป็นเหตุให้ผู้ค้ำประกันไม่อาจเข้ารับช่วงได้ทังหมดหรือบางส่วนในสิทธิใดๆ ก็ดี จำนองก็ดี จำนำก็ดี และบุริมสิทธิ ซึ่งลูกหนี้หรือบุคคลอื่นใดก็ตามได้ให้ไว้แก่ธนาคารแต่ก่อน หรือในขณะหรือหลังจากวันทำสัญญาค้ำประกันนี้” และข้อตกลงดังกล่าวไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อย ของประชาชนมีผลผูกพันจำเลยที่ 2 และที่ 3 ในฐานะคู่สัญญา ดังนี้ แม้โจทก์ผู้รับจำนองเพิกเฉยไม่คัดค้านการร้องขอกันส่วนของจำเลยที่ 4 สามีจำเลยที่ 1 ในฐานะสินสมรส ทำให้จำเลยที่ 4 ได้รับเงินส่วนที่ขอกันไว้ 750,000 บาท จากการขายทอดตลาดทรัพย์สิน ซึ่งจำนอง เป็นเหตุให้จำเลยที่ 2 และที่ 3 ต้องเสียหายก็ตามจำเลยที่ 2 และที่ 3 ก็ไม่อาจหลุดพ้นจากความรับผิดไปได้ และต้องรับผิดต่อโจทก์ตามสัญญาค้ำประกัน

               มาตรา 698  อันค้ำประกันย่อมหลุดพ้นจารกความรับผิดในขณะเมื่อหนี้ของลูกหนี้ระวับสิ้น ไปไม่ว่าเพราะเหตุใดๆ                การทำหนังสือรับสภาพหนี้เป็นเพียงเหตุให้อายุความสะดุดหยุด ลง ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/14 หาใช้เป็นเรื่องที่ทำสัญญาเปลี่ยนสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญ แห่งหนี้อันเป็นการแปลงหนี้ใหม่ที่จะทำให้หนี้ระงับไม่
               คำพิพากษาฎีกาที่ 393/2550  หนังสือรับสภาพหนี้ที่จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นลูกหนี้ทำให้ไว้แก่โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้เป็นเพียงการยอมรับว่าเป็น หนี้โจทก์และจะชำระหนี้ มิได้เป็นการยกเลิกหลักประกันหรือ การค้ำประกัน หรือเป็นการแปลงหนี้ใหม่อันจะมีผลให้หนี้เดิมระงับไป เมื่อจำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกันยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมในหนี้ของจำเลยที่ 1 จึงยังคงต้องรับผิดต่อโจทก์ตามสัญญาค้ำประกัน (นอกจากนี้มีคำพิพากษาฎีกาที่ 1938/2540)
               เปลี่ยนแปลงเฉพาะดอกเบี้ย มิใช่เป็นการเปลี่ยนแปลงในสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญแห่งหนี้ ไม่ใช่การแปลงหนี้ใหม่ หนี้เดิมไม่ระงับ       ทำสัญญาประนีประนอมกันนอกศาลเป็นการแปลงหนี้ใหม่ หนี้ระงับ
               คำพิพากษาฎีกาที่ 1732/2550  จำเลยทำสัญญาค้ำประกันการชำระหนี้ตามสัญญารับผิดชดใช้ ความเสียหายของ ก. ต่อโจทก์ แต่เมื่อโจทก์และ ก. ได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความเกี่ยวกับค่าเสียหายที่ ก. จะต้องรับผิด ความรับผิดของ ก. ที่เกิดจากสัญญารับผิดชดใช้ความเสียหายและความรับผิดของจำเลยในฐานะผู้ค้ำ ประกันจึงระงับสิ้นไป และทำให้ ก. ต้องรับผิดต่อโจทก์ตามสัญญาประนีประนอมยอมความ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 8250 และ 852 เมื่อความรับผิดของ ก. ต่อโจทก์เปลี่ยนเป็นความรับผิดตามสัญญาประนีประนอมยอมความ จำเลยในฐานะผู้ค้ำประกันจึงหลุดพ้นจากความรับผิดไปด้วยเนื่องจากหนี้ของ ก. ตามสัญญารับผิดชดใช้ความเสียหายระงับสิ้นไปแล้วตาม  มาตรา 698

               แต่ถ้าลูกหนี้ชั้นต้นกับเจ้าหนี้ทำสัญญาประนอมกันในศาล หนี้ไม่ระงับ เพราะเป็นเรื่องโจทก์ฟ้องบังคับตามสัญญากู้ไม่ทำให้หนี้ตามสัญญากู้ระงับ (คำพิพากษาฎีกาที่ 1007/2517, 957/2523, 2406/2524, 4235/2547)
               แต่กรณีที่เจ้าหนี้หมดสิทธิที่จะบังคับคดีลูกหนี้ เพราะพ้นระยะเวลาบังคับคดี ผู้ค้ำประกันหลุดพ้นจากความรับผิด                มาตรา 699  การค้ำประกันเพื่อกิจการเนื่องกันไปหลายคราวไม่มีจำกัดเวลาเป็นคุณแก่เจ้า หนี้นั้น ท่านว่าผู้ค้ำประกันอาจเลิกเสียเพื่อคราวเป็นอนาคตได้ โดยบอกกล่าวความประสงค์นั้นแก่เจ้าหนี้
               ในกรณีเช่นนี้ ท่านว่าผู้ค้ำประกันไม่ต้องรับผิดในกิจการที่ลูกหนี้กระทำลงภายหลังคำบอกกล่าวนั้นได้ไปถึงเจ้าหนี้
               การค้ำประกันการทำงานเป็นการค้ำประกันเพื่อกิจการเนื่องกันไปหลายคราวบอกเลิกสัญญาได้
           การบอกเลิกสัญญาค้ำประกันในกิจการเนื่องกันไปหลายคราว มีผลเฉพาะต่อหนี้ประธานที่ยังไม่เกิดขึ้นขณะนั้นเท่านั้น  ถ้าหนี้เกิดไปก่อนบอกเลิกแล้ว ผู้ค้ำประกันก็ยังต้องรับผิดในหนี้ส่วนนั้น
               มาตรา 700  ถ้าค้ำประกันหนี้อันจะต้องชำระ ณ เวลามีกำหนดแน่นอนและเจ้าหนี้ยอมผ่อนเวลาให้แก่ลูกหนี้ไซร้ ท่านว่าผู้ค้ำประกันย่อมหลุดพ้นจากความรับผิด
               แต่ถ้าผู้ค้ำประกันได้ตกลงด้วยในการผ่อนเวลา ท่านว่าผู้ค้ำประกันหาหลุดพ้นจากความรับผิดไม่
               กรณีถือเป็นการผ่อนเวลา
               คำพิพากษาฎีกาที่ 3513/2551 เจ้าหนี้ได้ทำสัญญาปรับปรุงโครงสร้างหนี้กับลูกหนี้ชั้นต้นมีข้อตกลงผ่อน เวลาชำระหนี้ให้แก่ลูกหนี้ชั้นต้นไม้โดยผู้ค้ำประกันมิได้ตกลงด้วยหรือให้ ความยินยอมเป็นลายลักษณ์อักษร ผู้ค้ำประกันย่อมหลุดพ้นจากความรับผิด ตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ในหนังสือสัญญา   ค้ำประกันตาม ป.พ.พ. มาตรา 700 วรรคหนึ่ง แม้ตามสัญญาปรับปรุงโครงสร้างหนี้ระบุว่าภาระหนี้และสิทธิประโยชน์ให้มูล หนี้เดิมระหว่างเจ้าหนี้ทุกรายกับลูกหนี้ชั้นต้นยังไม่ระงับสิ้นไป หากลูกหนี้ชั้นต้นไม่ชำระหนี้ตามสัญญาปรับปรุงโครงสร้างหนี้ เจ้าหนี้ทุกรายมีอำนาจนำมูลหนี้เดิมไปฟ้องร้องได้ แต่ผู้ค้ำประกันมิได้ร่วมตกลงหรือเป็นคู่สัญญาด้วยจึงไม่อาจใช้บังคับแก่ผู้ ค้ำประกันได้
               กรณีไม่ถือเป็นการผ่อนเวลา
               พูดปากเปล่าไม่ผูกมัด ไม่เรียกว่าผ่อนเวลา (คำพิพากษาฎีกาที่ 1242/2595) ลูกหนี้ทำหนังสือรับสภาพหนี้และสัญญาว่าจะชำระหนี้ภายในกำหนดโดยเจ้าหนี้มิ ได้ตกลงด้วย ไม่ผูกพันเจ้าหนี้         (คำพิพากษาฎีกาที่ 234/2508) ไม่ฟ้อง ไม่ใช่เป็นการผ่อนเวลา (คำพิพากษาฎีกาที่ 742/2507) ลูกหนี้ทำหนังสือรับรองต่อเจ้าหนี้ว่าจะชำระหนี้ภายใน 1 เดือน เป็นหนังสือที่ทำขึ้นฝ่ายเดียว (คำพิพากษาฎีกาที่ 1133/2510) ต้องมีการตกลงผ่อนเวลากันแน่นอนและมีผลว่าในระหว่างผ่อนเวลานั้นเจ้าหนี้จะ ใช้สิทธิเรียกร้องหรือฟ้องร้องไม่ได้ หากเพียงเมื่อถึงกำหนด ยังมิได้เรียกร้องให้ชำระ ไม่ถือเป็นการผ่อนเวลา เพราะเจ้าหนี้อาจใช้สิทธิเรียกร้องเมื่อใดก็ได้ (คำพิพากษาฎีกาที่ 1049/2512 (ประชุมใหญ่)) ไม่ได้บอกเลิกสัญญา จนล่วงเลยไปถึง 28 เดือน ก็ไม่ใช่การผ่อนเวลา (คำพิพากษาฎีกาที่ 3244/2540) ผู้ให้เช่าซื้อไม่ได้ใช้สิทธิยึดรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนทันทีเมื่อผู้เช่าซื้อ ผิดสัญญาเช่าซื้อก็ดี ผู้ให้เช่าซื้อปล่อยเวลาให้ล่วงเลยมาถึง 8 เดือน จึงยึดรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนก็ดี มิใช่การผ่อนเวลา (คำพิพากษาฎีกาที่ 4769/2547))  ไม่ชำระหนี้ค่าสินค้า ผู้สั่งซื้อสั่งจ่ายเช็คลงวันที่ล่วงหน้าชำระหนี้แก่โจทก์แทนเช็คฉบับเก่า เมื่อโจทก์ยังสามารถบังคับชำระหนี้ตามมูลหนี้ซื้อขายได้ กรณีไม่ใช่เป็นการยอมตกลงกำหนดวันหรือระยะเวลาชำระหนี้ให้เป็นการแน่นอน จึงไม่เป็นการที่เจ้าหนี้ยอมผ่อนเวลา (คำพิพากษาฎีกาที่ 624/2540)

               ข้อตกลงล่วงหน้าว่าผู้ค้ำประกันยอมให้เจ้าหนี้ผ่อนเวลาได้ ใช้บังคับกันได้
               คำพิพากษาฎีกาที่ 2790/2549  แม้โจทก์มิได้แจ้งให้จำเลยทราบถึงการต่ออายุสัญญาจ้างโดยไม่ชักช้าตามที่ ระบุไว้ในสัญญาค้ำประกันข้อ 2 ตอนท้ายก็ตาม ข้อความตอนท้ายดังกล่าวก็มิได้ใช่สาระสำคัญอันเป็นเงื่อนไขว่าหากมิได้ ปฏิบัติตามแล้วจะทำให้ข้อความตอนต้นไม่เป็นผล เพราะข้อความตอนต้นของสัญญาข้อนี้เป็นการแสดงเจตนาของจำเลยที่มีผลเป็นการ ยินยอมด้วยในการผ่อนเวลาหรือผ่อนผันการปฏิบัติตามสัญญาไปแล้ว มิใช่ข้อสัญญาว่าจะปฏิบัติการชำระหนี้อย่างใดอย่างหนึ่ง หากเป็น เพียงคำขอร้องหรือเสนอแนะเท่านั้น จำเลยไม่หลุดพ้นความรับผิดตาม ป.พ.พ. มาตรา 700 วรรคสอง
               มาตรา 701 ผู้ค้ำประกันจะขอชำระหนี้แก่เจ้าหนี้ตั้งแต่เมื่อถึงกำหนดชำระก็ได้
               ถ้าเจ้าหนี้ไม่ยอมรับชำระหนี้ ผู้ค้ำประกันก็เป็นอันหลุดพ้นจากความรับผิด
               คำพิพากษาฎีกาที่ 4479/2550  บทบัญญัติของกฎหมายเกี่ยวกับเรืองการวางทรัพย์ชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้เพื่อ ที่ลูกหนี้จะได้หลุดพ้นจากความรับผิดเป็นคนละเรื่องกับการที่ผู้ค้ำประกันขอ ชำระหนี้แก่เจ้าหนี้เมื่อหนี้ถึงกำหนดชำระและเจ้าหนี้ปฏิเสธไม่ยอมรับชำระ หนี้อันเป็นเหตุให้ผู้ค้ำประกันหลุดพ้นจากความรับผิดตาม ป.พ.พ. มาตรา 701 โดยไม่ต้องมีการวางทรัพย์

               การจำเลยที่ 3  นำแคชเชียร์เช็คพร้อมเงินสดตามจำนวนที่ได้รับแจ้งจากพนักงานของธนาคาร  โจทก์ไปชำระ ณ สาขาของโจทก์ที่รับผิดชอบเรื่องหนี้สินรายพิพาท จึงเป็นการขอชำระหนี้แก่เจ้าหนี้เมื่อหนี้ของจำเลยที่ 3 ผู้ค้ำประกันถึงกำหนดโดยชอบ เมื่อพนักงานของโจทก์มีหน้าที่เกี่ยวข้องปฏิเสธไม่ยอมชำระหนี้ จำเลยที่ 3 เป็นอันหลุดพ้นจากความรับผิดชอบ ตาม ป.อ.พ. มาตรา 701 วรรคสอง

Lawyer

$
0
0
ความจริง 7 ประการของอาชีพทนายความ


1.ทนายความในสายตาประเทศอื่น
สูงส่งมากค่ะ เค้ามองว่าเป็นเหมือนกับหมอ คือเป็นความรู้ชั้นสูง เป็น"วิชาชีพช่วยคน"
ตอนเราไปอังกฤษกับญี่ปุ่น โดนถามว่าเรียนอะไร ตอบเรียนกฎหมาย เค้าแบบ อู้หู สุดยอด เป็นคนดีจัง
ทำไมถึงต่างกันขนาดนี้หนอ... คำตอบอยู่ในข้อถัดๆไป
การที่ประเทศด้านตะวันตกมองทนายในแง่ดีนั้น มันเป็นมาตั้งแต่สมัยโน้น
ในขณะที่โลกตะวันออกจำกัดอยู่แค่พวกกฎหมายอาญา ห้ามฆ่าคน ห้ามขโมยของ
ประมาณว่าเป็นเรื่องที่รู้ๆกันอยู่ ไม่ต้องบัญญัติเป็นกฎหมายจริงจัง
แต่ทางด้านตะวันตกพอพ้นยุคมืดแล้ว เค้าก็เข้าทุนนิยม เสรีนิยม และชอบปรุงแต่งเหตุผล
เลยมีเหตุผลที่ลึกซึ้ง ประกอบกับความคิดทุนนิยมอีกหน่อย กฎหมายเลยถูกวางไว้มากกว่า
คนที่เรียนกฎหมาย ในตะวันตก เค้าเลยมองว่า เก่ง รู้มาก
แต่คนเรียนกฎหมายในตะวันออก เป็นเสมียน
(สอบจอหงวนก็ไม่ใช้กฎหมายละเออ)
โดยเฉพาะประเทศไทยเมื่อก่อน ถือว่ากฎหมายเป็นเรื่องที่เปิดเผยไม่ได้
เพราะกลัวว่าจะมีคนยุให้คนทะเลาะกันเพื่อผลประโยชน์
เลยรู้กันเฉพาะแค่ในข้าราชการยุติธรรม
ประชาชนไม่มีสิทธิรู้ จนถึงสมัยที่มีเปิดรร.กฎหมายโน่น...
เปิดเผยแล้วเป็นไงล่ะ คนที่รู้ เลยคิดว่า ข้าเก่งที่สุด น่ะสิ!

2.ทนายความในสายตาประเทศไทย
หัวหมอ หาช่อง เอาเปรียบ เลือกคดี บ้าสถิติชนะ ปากหนัก ไร้หัวใจ
โดยเฉพาะเวลาซักพยานในศาล กดดัน ปากกล้า พูดแรง ไม่เห็นหัวใครเลย
เป็นสาเหตุให้แม่เราเกลียดทนายจนเกือบจะไม่ให้ตังเราไปสอบตั๋วทนาย55

อันนี้ขอชี้แจงว่า ทนายไม่ได้มีหน้าที่ทำให้ใครเกลียดขี้หน้า ไม่ได้มีหน้าที่กดดันคน
ไม่ได้ถูกส่งมาให้ทำร้ายจิตใจพยาน หรือแม้กระทั่งคู่ความฝ่ายตรงข้าม
ไม่ต้องไปพูดจี้ใจดำเค้าหลายๆที ไม่ต้องไปตะคอก พูดปกติเค้าก็ได้ยิน
ให้เกียรติผู้พูดและผู้ฟังเป็นสมบัติผู้ดีทั่วไป และเป็นมรรยาทข้อสำคัญของทนาย
คนเหมือนกัน พูดกันรู้เรื่อง เค้าก็รักษาประโยชน์ของเค้าเหมือนเรารักษาประโยชน์ลูกความ
หรือต่อให้เค้าโกหกเราก็ต้องแก้ให้หลุดด้วยสติปัญญาและความรู้ที่สั่งสมมา ไม่ใช่ชี้หน้าด่า
เค้าไม่ได้มาเพื่อลอบสังหารบุพการีคุณค่ะ ไม่ต้องแยกเขี้ยวใส่ซะขนาดนั้นก็ได้
...ไม่งั้นว่าความในศาลจะต่างกับทะเลาะกันข้างทางอย่างไร
3.ทำไมทนายความไทยถึงป็นอย่างนั้น
นั่นสิ อาจเป็นนิสัยมักง่ายของคนไทย ประกอบกับความฉลาด(แกมโกง)แหละมั้ง

แต่ถ้าจะว่ากันจริงๆมันก็ตั้งแต่ระบบการศึกษา ระบบการทำงาน และระบบการตรวจสอบ
คือเราเรียนกันบบฉันไม่รู้อะไรนอกจากตัวบท ฉันทำงานเพื่อเงิน และคนอื่นจะทำบ้างก็ไม่เป็นไรหรอก

ทั้งๆที่ต้องดูเจตนารมณ์ของตัวบท ทำงานเพื่อความยุติธรรม(ฟังดูลิเกไปมั้ย? แต่มันจริงนะ)
และถ้าเห็นคนอื่นทำผิด ก็คือผิดสิ ผิดก็ต้องแก้ ต้องพูด ต้องบอก ต้องจัดการ ไม่ใช่ปล่อยไป
เพราะจาก"ทนายคนนั้นคนนี้ชาติชั่ว"กลายเป็น"ทนายชาติชั่ว"ได้ไม่ยาก (แถมเป็นแล้วแก้ไม่ได้ด้วย)
และเพื่อเปลี่ยนภาพพจน์ทนายจากข้อเมื่อกี้ เราถึงต้องมานั่งเรียน หลักวิชาชีพนักกฎหมาย อยู่นี่ไง
4.ทบาทของสภาทนายความ 
ทนายไม่ได้รวมตัวกันเป็นสภาเพื่อช่วยเหลือเกื้อกูลกันเหมือนสหภาพแรงงานนะคะ
สภาทนายมีไว้จับผิดค่ะ เหมือนกับแพทยสภา และสภาวิชาชีพอื่นๆ
เพราะว่าคนพวกเนี้ยทำผิดแล้วคนธรรมดาจับผิดไม่ได้ไง เลยต้องฝากไว้ที่พวกเดียวกัน
แต่ก็นะ ด้วยความเป็นระบบอุปถัมภ์ในประเทศไทย เลยมีแนวโน้มที่จะสนับสนุนพวกเดียวกันมากกว่า
ในประเทศอื่นๆเค้ามีระบบคว่ำบาตรค่ะ ใครผิดจรรยาบรรณโดนแบน ไม่มองหน้า ไม่คุยด้วย
เจอแบบนี้เลวมาจากไหน ถ้าไม่มีที่ให้อยู่ เพื่อนวงการเดียวกันไม่พูดด้วย ก็ต้องเปลี่ยนตัวเองกันบ้างแหละ
ไทยเราก็รู้นะ รู้ว่าคนไหนทำอะไร รู้นะว่าผิด อ่ะ มีเอาไปพูดต่อๆกันด้วย ว่าคนนั้นมันไป...นะ ไม่ดีเลย
ก็รู้นะ แต่พอคนที่ว่าเดินมาคุยด้วยเท่านั้นแหละ อ้าว เป็นไงบ้าง สบายดีเหรอ งานการเป็นไงมั่งพี่
เอิ่ม ให้มันได้หยั่งงี้สิ! พี่น้องคร้าบบ!!
5.ฟ้องมันเลย เอาค่าเสียหายมันหนัก หนั
ยิ่งเรียกค่าเสียหายได้มากเท่าไหร่ เหมือนจะทำให้คุณดูเป็นทนายที่เก่งมากขึ้นเท่านั้น
'เหมือนจะ' เพราะว่ามันเป็นสิ่งคนส่วนใหญ่ตีความไปกันเอง
ถ้าความยุติธรรมคือการได้รับในสิ่งที่เขาควรจะได้ เราก็ต้องทำให้เขาได้ในสิ่งที่เขา'ควรจะได้'
และถ้าตัดกิเลสออกไปแล้ว คำว่า'ควรจะได้' ไม่มีทางเป็น 'มากที่สุดเท่าที่จะทำได้' ไปได้แน่ๆ
ตามหลักกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ความยุติธรรมคือ การที่คู่ความตกลงกันได้
แบบ เค้าจะตกลงกันอยู่แล้วเชียว อีทนายห้าม บอกว่าถ้าจะฟ้องฟ้องได้มากกว่านี้ 10 เท่า
เอ่อ ทนายมีหน้าที่ทำตามความประสงค์ของคู่ความค่ะ จะไปขัดเค้าทำไม
ทนายไม่ใช่ส่วนหนึ่งของกระบวนการยุติธรรมเหรอ จะไปยุให้เค้าฟ้องกันทำไม
พอก็คือพอ อภัยก็คืออภัย เป็นสิ่งที่ดีกว่า 'เอาให้ถึงที่สุด' เป็นไหนๆค่ะ
6.ค่าทนายความ 
จริงๆแล้วเป็นค่าธรรมเนียม(fee)ค่ะ ไม่ใช่ค่าจ้าง(consideration)

ทำมาหากินกับความยุติธรรมเนี่ย เป็นอาชีพหากำไรไม่ได้เด็ดขาด มันไม่ใช่ของซื้อของขายเก็งกำไร
ถ้ามันเป็นส่วนที่เขาควรจะได้ สิ่งที่เราควรจะทำก็คือปกป้องสิ่งนั้นด้วยสิ่งที่เราเรียนมาค่ะ
ถ้าเราอ้างว่ามันเป็นสัญญาของเรากะลูกความ เงินไม่จ่าย งานไม่ไป ไม่ไปว่าความให้หรอก
มันก็ไม่ต่างจากการที่หมอ บอกว่าเงินไม่มา การรักษาไม่ไป ก็ตายอยู่ตรงนั้นไป นั่นแหละค่ะ
จริงอยู่ว่ามันมีค่ารักษาพยาบาล มันมีค่าขึ้นศาล มีค่าเดินทาง ไม่ออกแล้วตรูจะทำงานยังไง
แต่การประกอบวิชาชีพไม่ใช่สัญญาในทางพาณิชย์ หลักสัญญาต่างตอบแทนใช้ไม่ได้
เพราะไม่ใช่สัญญาส่วนตัวระหว่างทนายกับลูกความ เป็นเรื่องการอำนวยความยุติธรรมของรัฐ
มีผลกระทบต่อส่วนรวม จึงมีพันธกรณีให้ปฏิบัติหน้าที่โดยไม่คำนึงถึงค่าตอบแทน
แล้วจะให้ทนายกินแกลบแทนข้าวรึ? อันนี้ก็ไม่ใช่อีก ไม่งั้นซักพักทนายคงหมดโลก(อาจจะดีก็ได้นะ)
เราหมายถึงว่า ทนายที่ไม่ไปศาลโดยไม่มีเหตุจำเป็น แล้วมาอ้างว่าลูกความยังไม่จ่ายค่าว่าความน่ะ
อ้างไม่ได้ เพราะว่าคุณรับคดีมาแล้ว เค้าเป็นลูกความ เป็นคนที่คุณจะต้องดูแลผลประโยชน์ให้ไม่ว่ายังไง
ไม่งั้นก็จะเหมือนกับคุณหมอผ่าตัดแหวกท้องเสร็จ อ้าว ยังไม่ได้จ่ายตังเหรอ ทุกคนหยุดผ่า...
ท้องไส้ลูกความ เอิ่ม คนไข้ ก็ปั่นป่วนกันหมดน่ะสิ!
7.ว่าความให้คนผิดจะผิดไหม
อันนี้เป็นคำถามที่เราโดนบ่อยที่สุด หลังเปิดเผยตัวเองว่าเรียนนิติ ตอบตรงนี้เลยว่า
ไม่ผิดค่ะ เหมือนกับหมอ ต่อให้เค้าเป็นคนที่ฆ่าพ่อของคุณ แต่ว่าขาหัก คุณก็ต้องต่อให้
"วิชาชีพ" คือการช่วยคน ไม่ว่าเค้าจะเป็นใคร มาจากไหน หรือว่าทำอะไรมา
แต่วิธีช่วยต่างหากที่เข้าใจกันผิด การช่วยให้ชนะคดีโดยทำทุกวิถีทาง ผิดแน่นอนค่ะ
สิ่งที่เราจะช่วยได้คือ นำข้อเท็จจริงขึ้นสู่ศาล เท่านั้น ไม่มากกว่านี้
ไม่ต้องเดือดร้อนไปทำหลักฐานเท็จ สร้างพยานปลอม วิ่งเต้น ให้เสี่ยงถูกถอนใบอนุญาตนะคะ
ถ้าจะถามว่าช่วยลูกความได้อย่างไร ตอบคือช่วยเป็นปากเป็นเสียงในศาลให้เค้าค่ะ
ช่วยหาข้อเท็จจริงที่เป็นประโยชน์ ช่วยไม่ให้โดนยัดข้อหา หรือลงโทษหนักโดยไม่สมควร

อย่างที่เขาว่า

"ความสำเร็จของงานไม่ใช่การชนะคดี แต่เป็นการรักษาประโยชน์ของลูกความตามกฎหมาย
...ตามกฎหมาย นะคะ! ไม่ใช่ตามความพอใจของลูกความ"
โดยสรุ
เราว่าทนายส่วนใหญ่อยู่ในสายวิชาชีพนานและจริงจังกับคดีมากเกินไป
จนลืมไปว่าเรามาช่วยลูกความเรานะ ไม่ได้มาจัดการฝ่ายตรงข้ามหรือเอาชนะ
ไม่ได้มาหาช่องโหว่ของกฎหมาย หรือเก็บสถิติว่าความชนะรวด
เหมือนกับนักการเมืองที่ตั้งใจว่าจะทำเพื่อบ้านเมือง แต่ลืมไป
เพราะตั้งใจกับเกมการเมืองมากไปหน่อย จนไม่สนใจว่าประชาชนจะเป็นยังไง
เหมือนกับนักเรียนธรรมดา ที่เรียนเพื่อจะเป็นคนดีของสังคม แต่ลืมไป
เพราะตั้งใจเอาคะแนนดีๆกลับมาฝากพ่อแม่มากไปหน่อย จนไม่สนวิธีได้คะแนนมา

อย่างว่าแหละ
อุดมการณ์มันไม่ใช่ข้าว มันกินไม่ได้ มันไม่ทำให้ท้องอิ่ม
แต่อย่างน้อย ถ้าข้าวที่กินเข้าไป ไม่ได้มาจากการทำนาบนหลังใคร อาจจะอร่อยขึ้น และอิ่มยิ่งกว่าเดิม

จริงๆแล้วโดยพื้นฐาน ทุกคนก็เป็นคนดีทั้งนั้นแหละ
แต่ก็ช่วยไม่ได้ที่มนุษย์เป็นสัตว์สังคม

ช่วยไม่ได้ที่คนเราค่อนข้างขี้ลืม...
...แล้วโลกก็หมุนไปโดยไม่รู้ว่ามีสิ่งที่ถูกลืม UniGang  ขอขอบคุณ บทความดีดี จากคุณคิม  kim57n.exteen.com ที่ทำให้เห็นมุมมอง คณะนิติศาสตร์ ทนาย ในมุมที่แตกต่างออกไป 

English For Lawyer

$
0
0

                                                                             

ทิ้งฟ้อง

//  abandon       = สละละทิ้ง, ทิ้ง (ฟ้อง)

=to intentionally and permanently give up, surrender, leave,
=to stop doing something, especially before it is finished; to stop having something
** They abandoned the match because of rain.
= พวกเขาเลิกการแข่งขันเพราะฝนตก
** We had to abandon any further attempt at negotiation.
= พวกเราต้องล้มเลิกความพยายามในการเจจาต่อรองที่จะดำเนินต่อไป

** The plaintiff abandoned his plaint by neglecting to proceed with the case.

**โจทก์ทิ้งฟ้องโดยละเลยไม่ดำเนินคดีต่อไป



intentionally        =        โดยตั้งใจ, อย่างตั้งใจ, อย่างจงใจ, โดยเจตนา,       
                             =Syn.       deliberately,      intendedly,       voluntarily,
** She would never intentionally hurt anyone.
            เธอคงจะไม่ได้ตั้งใจที่จะทำร้ายใคร

 

 

//  plaintiff           = โจทก์ในคดีแพ่ง

                              =    the party who initiates a lawsuit by filing a complaint with ...
                                    คู่ความฝ่ายที่เริ่มคดีโดยยื่นคำฟ้องต่อ.....

** plaintiff (also complainant) = a person who brings a legal action against somebody in a lawcourt.

**The jury found for the plaintiff. = คณะลูกขุนรับฟังข้อเท็จจริงจากโจทก์

 

 

// plaint       = คำฟ้องแพ่ง

**supplementary plaint = คำฟ้องเพิ่มเติม

** The plaint shall set forth clearly the nature of the plaintiff's claims and of the relief applied for, as well as the allegations on which such claims are based. = คำฟ้องต้อแสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาของโจทก์และคำขอบังคับ ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้น

 

 

// neglect      = ประมาทเลินเล่อ, ละเลย, เพิกเฉย

** The surety neglects to set up defence of the debtor against the creditor. = ผู้ค้ำประกันละเลยไม่ยกข้อต่อสู้ของลูกหนี้ขึ้นต่อสู้สู้เจ้าหนี้

** The plaintiff neglects to proceed with the case within the fixed time. = โจทก์เพิกเฉยไม่ดำเนินคดีภายในเวลาที่กำหนด

 

 

// proceed      = ดำเนิน (คดี, กระบวนพิจารณา) จัดการ, ดำเนินการ

** We will proceed with the case. = เราจะดำเนินคดีต่อไป

** We may proceed an action against you. = เราจะดำเนินคดีกับท่าน

** The Court proceeds according to Section 74. = ศาลดำเนินการตามมาตรา 74

 

 

// case           = กรณี, คดี

** in any case = กรณีจะเป็นอย่างไรก็ตาม

** as the case may be = แล้วแต่กรณี

** in no case = ไม่ว่ากรณี ใด ๆ

** petty-case = คดีมโนสาเร่

** non-cantentious case = คดีไม่มีข้อพิพาท

** proceedings of the case = กระบวนพิจารณาแห่งคดี

 

 

// complainant       = ผู้ร้องทุกข์

** According to English Law a complainant alleging rape, attempted rape, incitement to rape, or being an accessory to rape is allowed by statute to remain anonymous, evidence relating to her previous experience cannot be given unless the Court rules otherwise. =  

ตามกฎหมายอังกฤษผู้ร้องทุกข์ในคดี ข่มขืน, พยายามข่มขืน, ยุยงให้มีการข่มขืน หรือสมรู้ในการข่มขืน ได้รับอนุญาตจากกฎหมายให้ปกปิดชื่อ และไม่ให้เปิดเผยพยานหลักฐานเกี่ยวกับพฤติกรรมของเธอในอดีตด้วยเว้นแต่ศาลจะ ได้มีคำสั่งเป็นอย่างอื่น

 

 // legal            = ตามกฎหมาย, ตามความชอบธรรม

 

** legal representative = ผู้แทนโดยชอบธรรม

 

 

// legal aid       = การให้ความช่วยเหลือทางกฎหมาย เช่น ทนายความว่าความให้ลูกความที่เป็นคนยากจนโดยไม่คิดค่าว่าความ

 

 

// legal estate     = หมายถึงสิทธิในที่ดินตามกฎหมายอังกฤษซึ่งคอมมอนลอว์รับรอง ต่างกับ equitable estate ซึ่งเป็นสิทธในที่ดินทางเอควิตี้

 

 

// legal right      = หมายถึงสิทธิที่ประชาชนมีอยู่ตามกฎหมาย

 

 

// law court (lawcourt) = ศาล

 

** His law office is situated near law courts = สำนักกฎหมายของเขาตั้งอยู่ใกล้ศาล

 

 

// jury    = คณะลูกขุน

 

** jury box = ที่นั่งสำหรับคณะลูกขุนขณะพิจารณาคดี

 

 

// find    = รับฟัง (ข้อเท็จจริง)

 

** The Appeal Court is bound by the facts as found by the Court of Fist Instance. = ศาลอุทธรณ์ต้องถือตามข้อเท็จจริงที่รับฟังมาโดยศาลชั้นต้น

 

 

// set forth   = ระบุ, เขียนให้ชัดเจน

 

**Every plaint sould set forth a summary of facts or points of law relied upon. = คำฟ้องทุกฉบับควรระบุให้ชัดเจนซึ่งข้อเท็จจริงโดยย่อและข้อกฎหมายที่อ้างอิง

 

 

// nature = สภาพ, ลักษณะ

** The accused did not know the nature and illegality of his act while he was committing such offence. = จำเลยไม่รู้ถึงสภาพและความผิดกฎหมายแห่งการกระทำของตนในขณะที่เขาทำความผิด นั้น

** The Appeal Court, on the grounds relating to the nature of the offence, has the power to give judgment to the other accused who did not appeal. = ในส่วนที่เกี่ยวกับลักษณะคดี ศาลอุทธรณ์มีอำนาจพิพากษาตลอดไปถึงจำเลยที่มิได้อุทธรณ์

 

 

// claim       = สิทธิเรียกร้อง, ข้อเรียกร้อง, การเรียกร้อง, คำฟ้อง

** His claim is barred by prescription. = สิทธิเรียกร้องของเขาขาดอายุความ

** Such claim must be entered not later than one year after the date of contravention. = การฟ้องร้องต้องกระทำไม่ช้ากว่าหนึ่งปีนับแต่วันที่ฝ่าฝืน

** claim for divorece = คำฟ้องหย่า

** claim for rent = คำฟ้องเรียกค่าเช่า

 

 

// relief     = การหลุดพ้นจาก (ภาระ, ความทุกข์ยาก ) การปลดเปลื้องทุกข์, คำขอปลดเปลื้องทุกข์

** The owner of the servient property obtains a total relief from the servitude by payment of compensation. = เจ้าของภารยทรัพย์หลุดพ้นจากภาระจำยอมด้วยการชดใช้เงินค่าทดแทน

** The judgment creditor who has suffered damage may apply by motion to the Court for relief. = เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาที่ได้รับความเสียหายอาจยื่นคำร้องต่อศาลขอให้ปลด เปลื้องทุกข์

** The cases where relief applied for can be computed in terms of money. =

คดีที่มีคำขอปลดเปลื้องทุกข์อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้

 

 

// apply = ใช้บังคับ, ยื่นคำร้อง

**In this case, the foregoing Section shall apply. = ในกรณีนี้ให้นำมาตราก่อนมาใช้บังคับ

** The defendant applies by motion to the Court for the case to be transferred to the Civil Court. = จำเลยยื่นคำร้องโดยทำเป็นคำขอต่อศาลขอให้โอนคดีไปยังศาลแพ่ง

 

 

 

// allegation = การกล่าวหา, ข้อกล่าวหา, การกล่าวอ้าง

** The plaintiff adduced an evidence in support of his allegation. =

โจทก์นำพยานหลักฐานอันหนึ่งเข้าสืบเพื่อสนับสนุนข้อกล่าวอ้างของเขา

 

 

// surety = ผู้ค้ำประกัน

** surety for another surety = ผู้รับเรือน (ผู้ค้ำประกันของผู้ค้ำประกัน)

** If several persons make themselves sureties for the same obligation, they are liable as joint debtors. = ถ้าบุคคลหลายคนยอมตนเข้าเป็นผู้ค้ำประกันในหนี้รายเดียวกัน ผู้ค้ำประกันเหล่านั้นมีความรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมกัน

 

 

// set up against = ยกขึ้นต่อสู้

** The surety may set up against the creditor defences of the debtor. =

             ผู้ค้ำประกันอาจยกข้อต่อสู้ของลูกหนี้ขึ้นต่อสู้เจ้าหนี้

 

 

// defence = ข้อต่อสู้, ข้อแก้ตัว, การป้องกัน

** The defendant puts up a defecnce constituting a contention as to ownership. =

                        จำเลยยกข้อต่อสู้เป็นข้อพิพาทเกี่ยวด้วยกรรมสิทธิ์

** self defence = การป้องกันตน

** In order that a homicide may be justifiable on the ground of self-defence, the accused must have believed on reasonable ground that his life was in danger, and the force used by him must have been reasonably necessary for his protection. =

การที่ความผิดฐานฆ่าคนตายจะมีข้อ แก้ตัวได้ว่าป้องกันตนเอง จำเลยจะต้องมีเหตุผลเชื่อว่าชีวิตของเขาตกอยู่ในอันตราย และเขาได้ใช้กำลังเท่าที่จำเป็น อย่างมีเหตุผล  เพื่อป้องกันตนเอง

** คำว่า defence ในคำแปลภาษาอังกฤษประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งและความอาญาของไทย หมายความถึง "ข้อต่อสู้" เช่นในคดีอาญาเมื่อโจทก์และจำเลยมาอยู่ต่อหน้าศาลและศาลเชื่อว่าเป็นจำเลย จริง   ศาลจะอ่านและอธิบายฟ้องให้จำเลยฟัง and then asks whether or not he has committed the offcence and what will be his defence คือถามเชาว่าได้ทำผิดจริงหรือไม่ จะมีข้อต่อสู้อย่างไรบ้าง จำเลยให้การอย่างไรให้จดไว้ ส่วนในคดีแพ่ง ข้อต่อสู้ของจำเลยก็ต้องกล่าวไว้ในคำให้การที่ยื่นต่อศาล (a defendant must set fort his defence in the answer submitted to the Court) แต่ในกฎหมายอังกฤษ คำว่า defence หมายถึง คำให้การของจำเลยในคดีแพ่งด้วย

 

 

// debtor = ลูกหนี้

** joint debtor = ลูกหนี้ร่วม

** judgment debtor = ลูกหนี้ตามคำพิพากษา

 

// creditor = ผู้ให้สินเชื่อ, เจ้าหนี้

** ordinary creditor = เจ้าหนี้สามัญ

** secured creditor = เจ้าหนี้มีประกัน

** judgment creditor = เจ้าหนี้ตามคำพิพากษา

 

 

// fix = กำหนด

** The Court fixes the day for settlement of issues. = ศาลกำหนดนัดวันชี้สองสถาน

** Fixed term of the lease is three years. = ระยะเวลาที่กำหนดของสัญญาเช่า คือ สามปี

 

 

// allege = กล่าวหา, กล่าวอ้าง

** He is alleged of having committed an offence. = เขาต้องหาว่าได้กระทำความผิด

** Any party alleges any fact, the burden of proof lies on such party. = คู่ความฝ่ายใดกล่าวอ้างข้อเท็จจริงอันใด หน้าที่นำสืบตกอยู่แก่คู่ความฝ่ายนั้น

 

 

// alleged offender = ผู้ต้องหา (ว่าได้กระทำความผิด)

** When a person appearing before the inquiry official happens to be the alleged offender, the inquiry official shall inform him of the offence charged and he shall be made aware that whatever he shall say may be used as evidence against him in the trial. = เมื่อปรากฎว่า ผู้ใดที่มาอยู่ต่อหน้าพนักงานสอบสวนเป็นผู้ต้องหาให้พนักงานสอบสวนแจ้งข้อหา ให้ทราบและบอกให้เขาทราบก่อนว่าถ้อยคำที่เขากล่าวนี้อาจใช้เป็นพยานหลักฐาน ปรักปรำเขาได้ในการพิจารณาคดี

 

 

// rape      = ความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเรา

** A man who has sexual intercourse with a woman against her will is guilty of rape. = ชายผู้ซึ่งร่วมประเวณีกับหญิงโดยหญิงมิได้ยินยอม มีความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเรา

 

 

// attempt      = (noun) การพยายาม

** An attempt to commit an offence is liable to two thirds of punishment provided for such offence. = การพยายามกระทำความผิดมีโทษสองในสามที่กำหนดสำหรับความผิดนั้น

 

 

// attempt      = (verb) พยายาม

** He attempts to commit an offence. = เขาพยายามกระทำความผิด

 

 

// incite       = (verb) ยุยง, ชักชวน (ให้กระทำผิด)

** He incited a servant to steal his master's property. = เขายุยงให้ คนใช้ ลักทรัพย์ของนายจ้าง

 

 

// incitement      = (noun) การยุยง, การชักชวน (ให้กระทำผิด)

** Incitement may be by means of persuasion, threats, by words or by implication. = การยุยงอาจเป็นโดยการชักชวน การข่มขู่ ด้วยวาจาหรือด้วยการกระทำเช่นนั้นโดยปริยาย

 

 

// Accessory       = ในกฎหมายอังกฤษหมายถึงผู้สมรู้ในการกระทำความผิดโทษ อาจสมรู้ก่อนการกระทำผิด (before the fact) หรือหลังการกระทำผิด (atfer the fact) ด้วยการจัดหาเครื่องมือ, ให้คำปรึกษา, สั่งการ หรือช่วยอย่างใดอย่างหนึ่ง แต่ไม่ได้อยู่ด้วยในขณะกระทำความผิด

 

 

// accessory      = เครื่องอุปกรณ์, ค่าอุปกรณ์

** Accessories are attached to the principal thing. = เครื่องอุปกรณ์ติดอยู่กับตัวทรัพย์อันเป็นประธาน

** The debtor must pay the whole debt and accessories that are interest and compensation. = ลูกหนี้ต้องชำระหนี้ทั้งหมดกับค่าอุปกรณ์ คือดอกเบี้ยและค่าสินไหมทดแทน

** accessory part = ส่วนที่เป็นอุปกรณ์

 

 

// allow       = ยอมรับว่า (ข้อเรียกร้อง) ฟังได้

** The Court gave juddgment for the plaintiff, the defendant apperaled, his appeal was allowed. = ศาลพิพากษาให้โจทก์ชนะคดี จำเลยอุทธรณ์ จำเลยชนะคดี ในชั้นอุทธรณ์

 

 

// statute      = กฎหมายที่ตราขึ้นใช้บังคับ

** Statutes consist of Acts of Parliament and subordinate legislation. = กฎหมายประกอบด้วย พระราชบัญญัติที่ผ่านรัฐสภา และกฎหมายระดับรองลงมา (เช่นพระราชกฤษฎีกา, กฎกระทรวง)

 

 

// remain      = คงอยู่ที่เดิมหรือคงสภาพเดิม

** to remain silent. = ยังคงคงเงียบอยู่

 

 

// anonymous      = (ใช้กับคน) ไม่รู้จักชื่อหรือปกปิดชื่อ

** An anonymous caller told the police that a robbery was going to take place. = บุคคลผู้ไม่ประสงค์จะออกนามโทรแจ้งตำรวจว่าจะมีการปล้นเกิดขึ้น

 

 

// evidence      = (noun) พยานหลักฐาน

** The enquiry official shall collect every kind of evidence in order to know the facts and circumstances relating to the alleged offence. = ให้พนักงานสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐานทุกชนิด เพื่อทราบข้อเท็จจริงและพฤติการณ์ต่าง ๆ อันเกี่ยวกับความผิดที่ถูกกล่าวหา

** documentary evidence = พยานเอกสาร

** oral evidence = พยานบุคคล

** material evidence = พยานวัตถุ

** to take evidence = สืบพยาน

** Evidence may be classified into direct and circumstantial evidence. Evidence is said to be "direct" when it consists of testimony concerning perception of fact in issue, and "circumstantial" when it consists of evidential facts. =

พยานหลักฐานอาจจำแนกออกได้ว่าเป็น พยานหลักฐานโดยตรงหรือพยานแวดล้อม พยานหลักฐานเรียกว่าเป็นพยาน "โดยตรง" เมื่อประกอบด้วยหลักฐานอันเกี่ยวกับการได้เห็นได้ยินข้อเท็จจริงในประเด็น, เป็นพยาน "แวดล้อม" เมื่อประกอบด้วยข้อเท็จจริงอันเป็นพยานหลักฐานประกอบ

** The rule of primary and secondary evidence is now mainly important in relation to documents which must generally be proved by original which is primary evidence, copy which is secondary evidence was always excluded when primary evidence was available. =

หลักอันเกี่ยวกับพยานหลักฐานชั้น หนึ่งและชั้นสองในปัจจุบันส่วนใหญ่มีความสำคัญเกี่ยวกับเอกสารซึ่งโดยทั่วไป จะต้องพิสูจน์โดยต้นฉบับอันเป็นพยานหลักฐานชั้นหนึ่ง ส่วนสำเนาเอกสารซึ่งเป็นหลักฐานชั้นสองจะถูกตัดออกเสมอในเมื่อมีพยานหลักฐาน ชั้นหนึ่งมาแสดง

 

 

// evidence      = (verb) มีพยานหลักฐาน

** The obligation is evidenced by writing. = หนี้มีหลักฐานเป็นหนังสือ

** The transaction is required to be evidenced by writing. = กิจการนี้ถูกบังคับว่าต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือ

 

 

// evidence in rebuttal      = หมายถึงกรณีที่ศาลอนุญาตให้คู่ความฝ่ายที่สืบพยานของฝ่ายตนเสร็จไปแล้วนำ พยานมาสืบเพิ่มเติมอีก พยานที่นำมาสืบเพิ่มเติมนี้นอกจากจะสนับสนุนข้ออ้างของฝ่ายที่นำสืบแล้ว ยังหักล้าง (rebut) พยานหลักฐานของฝ่ายตรงข้ามอีกด้วย

 

// relate       = เกี่ยวข้องกับ

** offences relating to justice = ความผิดเกี่ยวกับการยุตธรรม

** the law relating thereto = กฎหมายว่าด้วยการนั้น

** the regulation relating thereto = ข้อบังคับเกี่ยวกับการนั้น

 

 

// previous      = ที่มาหรือที่เกิดขึ้นก่อนหน้านั้น

** Do you have previous experience of this type of work? = คุณเคยมีประสบการณ์เกี่ยวกับงานประเภทนี้หรือไม่?

 

 

// previous conviction      = การต้องโทษในอดีต

** A previous conviction may be proved when required to discredit a witness. = เมื่อต้องการจะทำให้พยานขาดความน่าเชื่อถืออาจพิสูจน์ว่าพยานเคยต้องโทษมาใน อดีต

 

 

// rule        = (verb) วินิจฉัยชี้ขาด, ออกกฎระเบียบ

** The judge ruled that he was the putative father of the child. = ผู้พิพากษาได้วินิจฉัยว่าเขาเป็นบิดาของเด็ก (ที่เกิดนอกสมรส)

** The court makes an order of ruling concerning the conduct of the case. = ศาลได้ออกคำสั่งหรือคำชี้ขาดเกี่ยวกับการดำเนินคดี

 

 

// rule       = (noun) ข้อบังคับ, กฎ, ระเบียบ

** rules as to etiquette at the Bar = ระเบียบเกี่ยวกับมารยาทของเนติบัณฑิต

** rule of Supreme Court (R.S.C.) = คือคำสั่งของศาลสูงสุด (ของอังกฤษ) กำหนดระเบียบวิธีพิจารณาคดีในศาล

 

 

// otherwise       = ให้แตกต่างไปเป็นอย่างอื่น

** Unless the Court rules otherwise. = เว้นแต่ศาลจะได้มีคำสั่งเป็นอย่างอื่น

 

 

// representative       = ผู้แทน

** representative ad litem = ผู้แทนเฉพาะคดี

** legal representative = ผู้แทนโดยชอบธรรม

** All acts done by a minor without the consent of his or her legal representative are voidable. = การใดอันผู้เยาว์ได้กระทำลงโดยปราศจากความเห็นชอบของผู้แทนโดยชอบธรรมย่อม เป็นโมฆียะ

 

 

// estate      = คำนี้มีความหมายหลายอย่าง

1. หมายถึงกองมรดก

** This house is only a part of the asset of his estate. = บ้านหลังนี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งของสินทรัพย์แห่งกองมรดกของเขา

** A creditor of the estate may enforce his claim against the heir. = เจ้าหนี้กองมรดกอาจบังคับสิทธิเรียกร้องของเขาเอาจากทายาท

2. หมายถึงทรัพย์สินทั้งหมดที่บุคคลหนึ่งมีอยู่ ถ้าเป็นสังหาริมทรัพย์เรียกว่า personal estate ถ้าเป็นอสังหาริมทรัพย์เรียกว่า real estate

3. ตามกฎหมายอังกฤษหมายถึงส่วนได้เสียในที่ดิน เช่น estate in fee simple หมายถึงส่วนได้เสียในที่ดินที่มีอยู่อย่างเด็ดขาด (absolute) เจ้าของอาจขายหรือตกเป็นมรดกแก่ทายาทได้ ถ้าเป็น estate in fee tail เจ้าของส่วนได้เสียในที่ดินมีอยู่เฉพาะตัวเจ้าของส่วนได้เสียกับทายาทอัน เกิดจากตัวเขาเท่านั้น หลังจากนั้นจะกลับไปเป็นของเจ้าของเดิม ถ้าเป็น estate for life เจ้าของส่วนได้เสียในที่ดินมีส่วนได้เสียชั่วชีวิตของเขาเท่านั้น

 

 

// estate      = (law) all the money and property that a person owns, especially that which is left at her of his death.

** Her estate was divided between her four children.

 

 

// right        = สิทธิ

** Every person, in the exercise of his rights, must act in good faith. = ในการใช้สิทธิของตน ทุกคนร้องกระทำโดยสุจริต

** real right = ทรัพยสิทธิ

** personal right = บุคคลสิทธิ

** right of recourse = สิทธิไล่เบี้ย

** right of claim = สิทธิเรียกร้อง

** right of privacy = สิทธิในึความเป็นอยู่ส่วนตัว

** right of entry = สิทธิที่จะเข้าไป (ในที่ดิน, อาคารบ้านเรือนคนอื่น)

** right of retention = สิทธิยึดหน่วง

** right represented by a written instrument = สิทธิอันมีตราสาร

** right of inheritance = สิทธิรับมรดก

** preferential right = บุริมสิทธิ

** statutory right = สิทธิโดยธรรม (ในมรดก)

 

 

// right       = a just, proper or legal claim; a thing that one is entitled to do or have by law.

** What right have you/What gives you the right to do that?

** You have no right to stop me from going in there.

** exercise one's legal rights.

** have no rights as a US citizen.

** animal rights campaigners.

** the right to remain silent.

** Everyone has a right to a fair trial.

** Do the police have the right of arrest in this situation?

** He's quite within his rights to demand an enquiry.

** I know my rights.

 

 

// rights      = a legal authority or claim to something.

** buy/ownthemovie/translation/foreign rights

** all rights reserved.

 

 

 

// right       = (adjective) ที่ถูกต้อง, ที่ชอบ

** Keep on the right side of the law. = จงหย่าทำผิดกฎหมาย

 

 

// situated        = ที่ตั้งอยู่ ณ ที่หนึ่งหรือที่ตำแหน่งหนึ่ง

** The hotel is conveniently situated close to the beach.

 

 

// The Appeal Court = ศาลอุทธรณ์

 

 

// the Court of Fisrst Instance = ศาลชั้นต้น

 

 

// appeal      = (noun) อุทธรณ์

** An appeal shall lie to the Appeal Court against any judgment of the Court of First Instance. = อุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ยื่นต่อศาลอุทธรณ์

** a petition of appeal = ฟ้องอุทธรณ์

 

 

// appeal      = (verb) ยื่นอุทธรณ์

** The Civil Court gave judgment for the plaintiff, the defendant appealed. = ศาลแพ่งมีคำพิพากษาให้โจทก์ชนะคดี จำเลยยื่นอุทธรณ์

 

 

// appeal (law) = an act of asking for a legal case to be judged again.

** lodge an appeal.

** have the rgiht of appeal.

** an appeal court

 

// summary    = ซึ่งสรุปรวบรัด

 ** summary trial = การพิจารณาคดีโดยรวบรัด

 ** summary jurisdiction = อำนาจการพิจารณาคดีดดยรวบรัด

 ** summary of facts = ข้อเท็จจริงโดยย่อ

 

 

 

// point       = ข้อ, แง่

 ** point of fact = ข้อเท็จจริง

 ** point of law = ข้อกฎหมาย

 ** point of dispute = ประเด็นข้อพิพาท

 

 

 

// rely        = เชื่อถือ, พึ่งพาอาศัย

 ** Both parties may rely upon the same evidence. = คู่ความทั้งสองฝ่ายมีสิทธิอ้างอิง (อาศัย) พยานหลักฐานอันเดียวกัน

 

 

 

// The accused        = จำเลยใน(คดีอาญา)

 ** The accused is brought before the Court. = จำเลยถูกนำตัวมาอยู่ต่อหน้าศาล

 

 

 

// illegality       = ความไม่ชอบด้วยกฎหมาย

 ** This contract is unforceable because fo its illegality. = สัญญานี้บังคับใช้ไม่ได้ เพราะเป็นสัญญาไม่ชอบด้วยกฎหมาย

 

 

 

// commit       = กระทำ

 ** He has just committed an offence. = เขาเพิ่งได้กระทำความผิด

 

 

// offence      = ความผิด

 ** Where an offence has been commited, the wrongdoer is liable to punishment. = เมื่อมีการกระทำผิด ผู้กระทำผิดย่อมต้องรับโทษ

 ** compoundable offence = ความผิดอันยอมความได้

 ** non-compoundable offence = ความผิดที่ยอมความกันไม่ได้

 ** several distinct and different offences = ความผิดหลายกรรมต่างกัน

 ** flagrant offence = ความผิดซึ่งหน้า

 ** offence committed by negligence = ความผิดกระทำโดยประมาท

 ** property obtained throught an offence = ทรัพย์ได้มาโดยการกระทำผิด

 ** property which its possession constitutes an offence. = ทรัพย์ซึ่งมีไว้เป็นความผิด

 ** petty offence = ความผิดลหุโทษ

 ** serious offence = ความผิดอุกฉกรรจ์

 

 

 

// ground      = มูล, มูลเหตุ

 ** on the ground that... = โดยอาศัยมูลที่ว่า....

 ** without legal ground = ปราศจากมูลอันจะอ้างกฎหมายได้

 ** on legitimate round = อาศัยมูลอันชอบด้วยกฎหมาย

 ** on the ground of prescription = อาศัยมูลแห่งอายุความ

 ** sufficient ground = มีมูลพอ

 ** reasonable ground = มูลเหตุอันสมควร

 ** ground of challenge = มูลเหตุแห่งการคัดค้าน(ผู้พิพากษา)

 ** ground of avoidance = มูลแห่งการบอกล้าง, มูลอันจะบอกล้างได้

 ** He has reasonable grounds to believe that his act was within his authority. = เขามีมูลเหตุอันสมควรที่จะเชื่อว่าการกระทำของเขาอยู่ภายในขอบอำนาจ

 ** When prescription has not been set up as a defence, the Court cannot dismiss the claim on the ground of prescription. = เมื่อ (จำเลย) ไม่ได้ยกเอาอายุความเป็นข้อต่อสู้ ศาลจะอ้างเอาอายุความมาเป็นมูลยกฟัองไม่ได้

 ** A creditor is in default if, without legal ground, he does not accept the performance tendered to him. = ถ้าลูกหนี้ขอปฏิบัติการชำระหนี้แก่เจ้าหนี้ และเจ้าหนี้ไม่รับชำระหนี้โดยปราศจากมูลเหตุอันจะอ้างตามกฎหมายได้ ท่านว่าเจ้าหนี้ตกเป็นผู้ผิดนัด

 ** The creditor can demand interest during default higher than 7.5 percent per annum on any legitimate ground. = เจ้าหนี้สามารถเรียกดอกเบี้ยระหว่างผิดนัดในอัตราสูงกว่าร้อยละ 7.5 ต่อปี โดยอาศัยมูลอันชอบด้วยกฎหมาย

 ** The third person has reasonable grounds to believe that the agent has acted within his authority. = บุคคลภายนอกมีมูลเหตุอันสมควรที่จะเชื่อว่าตัวแทนได้กระทำการภายในขอบอำนาจ ของเขา

** Any judge may be challenged on any of the following grounds. = ผู้พิพากษาอาจถูกคัดค้านได้ในเหตุใดเหตุหนึ่งดังต่อไปนี้

 

 

// judgment      = คำพิพากษา

** Judgment of death = คำพิพากษาประหารชีวิต

** judgment debtor = ลูกหนี้ตามคำพิพากษา

** Judgment was given for the plaintiff by a majority. = ศาลพิพากษาให้โจทก์ชนะคดีโดยเสียงข้างมาก

** Judgment was entered for the defendant. = ศาลพิพากษาให้จำเลยชนะคดี

** The Court gave judgment for the defendant. = ศาลพิพากษาให้จำเลยชนะคดี

** The Court gave judgment in favour of Mr. A. = ศาลพิพากษาให้ มิสเตอร์ เอ ชนะคดี

** Mr. A obtained judgment against Mr. B. = มิสเตอร์ เอ ชนะคดีมิสเตอร์ บี

 

 

// bar      (noun)      = ตามกฎหมายอังกฤษมีความหมายหลายอย่าง

** หมายถึงที่ที่จำเลยมายืนรับฟังการพิจารณาคดี = prisoner at bar

** หมายถึงที่ที่ทนายความมายืนว่าความให้แก่ลูกความในศาล ฉะนั้น จึงเรียกทนายความว่า barrister

** หมายถึงสถาบันวิชาชีพของทนายความที่เรียกว่าเนติบัณฑิตยสภา

** หมายถึงการพิจารณาคดีของลูกขุน = trial at bar

** หมายถึงร้านขายสุราซึ่งได้รับอนุญาตตามกฎหมาย

** The principles governing practice rules relating the conduct and etiquiette at the Bar were laid down by the General Council of the Bar. =

หลักเกณฑ์ต่างๆ เกี่ยวกับความประพฤติและมารยาทในการว่าความได้ถูกตราขึ้นโดยคณะกรรมการเนติบัณฑิตยสภา

 

 

// bar       (verb) = ห้าม, ตัดสิทธิ

** A claim is barred by prescription. = การฟ้องตามสิทธิเรียกร้องกระทำไม่ได้โดยอายุความ

** He is barred from bringing an action by presription. = เขาถูกตัดสิทธิไม่ให้ฟ้องคดี เพราะขาดอายุความ

 

 

// prescription      = อายุความ (ทางแพ่ง หรือทางอาญา)

** The right under the contract has been lost by prescription. = สิทธิตามสัญญานั้นสูญสิ้นไปแล้วเพราะอายุความ

** The prosecution is precluded by prescription. = การฟ้องคดีอาญาถูกจำกัด (ห้าม) โดยอายุความ

** The case is barred by prescription. = คดีขาดอายุความ

** acquisitive prescription = อายุความได้สิทธิ

 

 

// enter       = ยื่นเอกสาร, ฟ้องคดี, ทำสัญญา, ลงบัญชี, (คำพิพากษา) ให้ชนะคดี

** Had he known of the fact, he would not have entered into the contract. = ถ้าเขาได้ทราบข้อเท็จจริง เขาคงไม่เข้าทำสัญญา

** No action can be entered later than ten years after such act. = ห้ามไม่ให้ฟัองคดีเมื่อพ้นสิบปีหลังจากเกิดการกระทำเช่นนั้น

** The bank has entered this item in the current account. = ธนาคารได้ลงรายการนี้ในบัญชีกระแสรายวัน

** The Public Prosecutor shall not enter a charge in Court without inquiry having been held. = ห้ามมิให้พนักงานอัยการฟ้องคดีต่อศาลโดยมิได้มีการสอบสวนเกี่ยวกับข้อหานั้น ก่อน

** The judgment is entered for the defendant. = ศาลพิพากษาให้จำเลยชนะคดี

 

 

// contravention       = การฝ่าฝืน

** He has acted in contravention of the law. = เขาได้กระทำการอันเป็นการฝ่าฝืนกฎหมาย

 

 

// divorce       = การหย่า

** action for divorce = คดีฟ้องหย่า

** divorce by mutual consent = การหย่าโดยความยินยอมทั้งสองฝ่าย

** divorce by judgment = การหย่าโดยคำพิพากษาของศาล

** Divorce may be effected only by mutual consent or by judgment of the court. = การหย่าจะทำได้แต่โดยความยินยอมทั้งสองฝ่ายหรือโดยคำพิพากษาของศาล

** If one spouse has deserted the other for more than one year the other may enter an action for divorce. =

ถ้าสามีหรือภริยาจงใจละทิ้งร้างอีกฝ่ายหนึ่งไปเกินกว่าหนึ่งปี อีกฝ่ายหนึ่งฟัองหย่าได้

 

 

//division       = การแบ่ง

** division per stirpes = การแบ่งมรดกตามสายเครือญาติ (ซึ่งมีการรับมรดกแทนที่กันได้)

** division per capita. = การแบ่งมรดกโดยอาศัยสิทธิของตนเอง (ไม่รับแทนที่ผู้อื่น)

** Division of estate between the statutory heirs shall be as follows. = การแบ่งมรดก ระหว่างทายาทโดยธรรมให้เป็นดังต่อไปนี้

** As between the descendants entitled by way of representation to the division per stirpes, if there are descendants of different degrees, only the children of the deceased who are the nearest in degree are entitled to receive the inheritance. =

ระหว่างผู้สืบสันดานที่รับมรดกแทน ที่กันในส่วนหนึ่งของสายหนึ่ง ๆ ถ้าผู้สืบสันดานต่างชั้นกันบุตรของผู้ตายที่อยู่ในชั้นสนิทที่สุดเท่านั้นมี สิทธิรับมรดก

 

 

// servient property (or servient tenement)         =ภารยทรัพย์ตามกฎหมายว่าด้วยภาระจำยอม

 

 

// servitude       = ภาระจำยอม

** The owner of the immovable property subjected to a servitude is bound to suffer certain acts affecting his property for the benefit of another immovable property. =

เจ้าของอสังหาริมทรัพย์ที่ตกอยู่ในภาระจำยอมต้องยอมรับกรรมบางอย่างซึ่งกระทบถึงทรัพย์สินของตนเพื่อประโยขน์แก่อสังหาริมทรัพย์อื่น

 

 

// obtain      = ได้รับ

** to obtain advice = ได้รับคำแนะนำ

** to obtain information = ได้รับข้อมูลข่าวสาร

 

 

// compensation         = ค่าสินไหมทดแทน

** compensation for the injury = ค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหาย

** Compensation is monetary payment to compensate for loss and damage. = ค่าสินไหมทดแทน คือการจ่ายเงินเพื่อชดเชยความสูญเสียหรือความเสียหาย

 

 

// suffer        = ได้รับ (ผลร้าย)

** He is discharged from the obligation to the extent of the injury suffered by him. = เขาหลุดพ้นจากหนี้เท่าที่เขาได้รับความเสียหาย

** He is bound to suffer certain acts affecting his property. = เขาผูกพันต้องรับกรรมบางอย่างที่กระทบทรัพย์สินของเขา

 

 

// motion         = ดุลพินิจ, ความดำริริเริ่ม, คำร้องที่ยื่ต่อศาล, ญัตติที่ยื่นต่อที่ประชุม

** The Court may, of its own motion, issue an order, = ศาลอาจใช้ดุลพินิจของศาลแล้วออกคำสั่ง

** of its own motion = ด้วยดุลพินิจของศาลเอง

** He files a motion for summon. = เขายื่นคำร้องเพื่อขอให้ออกหมายเรียก

** He applies to the Court by motion. = เขายื่นคำขอโดยทำเป็นคำร้องต่อศาล

** A member of the House fo Representtives has submitted a motion abridging the expenditures. = สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้เสนอแปรญัตติตัดทอนรายจ่าย

** A motion for amendment must be presented by any member. = ญัตติขอแก้ไขเพิ่มเติมต้องมาจากสมาชิกผู้ใดผู้หนึ่ง

 

 

// compute           = คำนวณ = to calculate something, especially with a computer

** Scientists can accurately compute the course of the rocket. นักวิทยาศาสตร์สามารถคำนวณแนววิถีการเดินทางของขีปนาวุธได้อย่างแม่นยำ

** He computed his losses at 500,000 baht. = เขาคำนวณความเสียหายของเขาที่ห้าแสนบาท

 

 

// foregoing         = ที่กล่าวข้างต้น

** The Court shall proceed with the case as provided in the foregoing paragraph. = ให้ศาลดำเนินคดีไปดังที่บัญญัติไว้ในวรรคก่อน

 

 

// section          = มาตรา

** The provision of Section 681 shall apply mutatis mutandis. = ให้นำเอามาตรา 681 มาใช้บังคับโดยอนุโลม

** Sub-Section = อนุมาตรา

** Section 193 bis and ter of the Criminal Procedure Code. = มาตรา 193 ทวิ และ ตรี แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา

// damage        = ความเสียหาย
** An employer is liable for damage done by his employee in the course of his employment. =
นายจ้างต้องรับผิดเพื่อความเสียหายที่ลูกจ้างได้กระทำไปในทางการที่จ้าง
** The rule as to the remoteness of damage will be discussed. The distinction between the remote and proximate damage is very hard to draw. =
กฎเกณฑ์ที่เกี่ยวกับความเสียหายที่ ห่างไกลจะได้รับการพิจารณา ความแตกต่างระหว่างความเสียหายที่ห่างไกลกับความเสียหายที่ใกล้ชิดนั้นยาก ที่จะขีดเส้นให้เห็นได้


// damages        = ค่าเสียหาย (ขอให้สังเกตว่าอยู่ในรูปของ "พหูพจน์" เสมอ)
** The claim for damages is barred by prescription after ten years from the day when the wrongful act was commiitted. =
สิทธิเรียกร้องค่าเสียหายขาดอายุความเมื่อพ้นสิบปีนับแต่วันที่ทำละเมิด
** Where the parties agree beforehand what sum shall be payable by way of damages in the event of breach, it is called liquidated damages. =
ในกรณีที่คู่สัญญาตกลงกันไว้ล่วงหน้าว่า ในกรณีผิดสัญญาจะจ่ายค่าเสียหายกันเท่าใด เรียกว่าค่าเสียหายที่ตกลงกันไว้
** nominal damages = ค่าเสียหายในนาม (พอเป็นพิธี)
** The main purpose of awarding damages in tort, as in the case of breach of contract, is to compensate the plaintiff for the loss he has suffered. =
วัตถุประสงค์ใหญ่ของการจ่ายค่าเสียหายทางละเมิดก็เหมือกรณีผิดสัญญาคือเพื่อชดใช้ความสูญเสียที่โจทก์ได้รับ
** Nominal damages are awarded when the plaintiff can prove that his right has been infringed, but is unable to prove any actual damages. = ค่าเสียหายแต่เพียงในนามจะจ่ายให้ต่อเมื่อโจทก์พิสูจน์ได้เพียงว่าเขาถูก ละเมิดสิทธิ แต่ไม่สามารถพิสูจน์ความเสียหายอันแท้จริง


// defendant          = จำเลย (ในคดีแพ่ง)
** ตามกฎหมายอังกฤษคำนี้หมายถึงจำเลยคดีอาญาที่ถูกฟ้อง ในความผิดโทษเบา (misdemeanour) ด้วย
** joint defendant = จำเลยร่วม


// transfer         = (verb) โอน
** A claim may be transfered. = สิทธิเรียกร้องอาจโอนกันได้
** She had transferred her house to her daughter before she died. = เธอได้โอนบ้านของเธอให้ลูกสาวก่อนเธอตาย


// transfer        = (noun) การโอน
** the transfer of the ownership of the property = การโอนกรรมสิทธิ์แห่งทรัพย์สิน
** No transfer of immovable property is complete unless is made in writing and is registered by the competent official. =
การโอนอสังหาริมทรัพย์ย่อมไม่สมบูรณ์ เว้นแต่จะทำเป็นลายลักษณ์อักษรและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่
** The company may decline to register a transfer of shares on which a call is due. = บริษัทอาจไม่ยอมจดทะเบียนการโอนหุ้นก็ได้ หากเงินที่เรียกค่าหุ้นยังค้างชำระอยู่
** Transfer มีความหมายเป็นการโอนเหมือน assignment แต่ assignment มักจะใช้ในการโอนสิทธิเรียกร้อง (claim) โอนสิทธิต่าง ๆ เช่น โอนสิทธิตามสัญญาเช่า (assignment of lease) ส่วนการโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สิน เช่น การโอนที่ดิน, โอนบ้าน, โอนหุ้น มักใช้คำว่า transfer แต่ไม่ใช่กฎตายตัว


// adduce       = นำมา
** The accused has the right to adduce any evidence to prove his innocence. = จำเลยมีสิทธินำพยานหลักฐานใด ๆ มาสืบเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของเขา
// obligation =          หนี้
** By virtue of the obligation, the creditor is entitiled to claim performance from the debtor. =
ด้วยอำนาจแห่งมูลหนี้ เจ้าหนี้ย่อมมีสิทธิจะเรียกให้ลูกหนี้ชำระหนี้ได้
** He promises to be responsible for any obligation incurred. =
เขาสัญญาว่าจะรับผิดชอบในหนี้ใด ๆ ที่เกิดขึ้น
** subject ofobligation =                วัตถุแห่งหนี้

// constitute =                          จัดตั้ง, ประกอบกันเป็น (สิ่งใดสิ่งหนึ่ง)
** The King appoints the Prime Minister and 48 Ministers to constitute a Council of Ministers. = พระมหากษัตริย์ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรี 48 คนประกอบเป็นคณะรัฐมนตรี
** Five members constitute a quorum. =
        สมาชิก 5 คน ประกอบเป็นองค์ประชุม
** He put up a defence constituting contention as to ownership. = 
     เขาได้ให้การต่อสู้คดีโดยยกข้อโต้แย้งเกี่ยวกับกรรมสิทธิ์
** The point at issue in this case is whether the fact proved constitutes the offence charged. = ประเด็นที่สำคัญในคดีนี้คือว่า ข้อเท็จจริงที่พิสูจน์มาแล้วนั้น
 ประกอบกันเป็นความผิดที่กล่าวหาหรือไม่

// contention =                            ข้อโต้แย้ง, ข้อพิพาท, การต่อสู้ (คดี)
** He filed the document as evidence in support of his contentions. =     
              เขายื่นเอกสารเป็นพยานสนับสนุนข้อโต้แย้งของเขา
** He had good faith in the contention of his case. =
              เขามีความสุจริตใจในการต่อสู้คดีของเขา
** contention as to ownership = ข้อพิพาทว่าด้วยกรรมสิทธิ์


// homicide           = ตามกฎหมายอังกฤษ หมายถึงการฆ่าคน การฆ่าคนอาจกระทำโดยชอบด้วยกฎหมาย เช่น ตำรวจยิงต่อสู้กับผู้ร้ายและผู้ร้ายตาย หรือมีข้อแก้ตัวตามกฎหมาย หรืออาจเป็นการฆ่าโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ถ้าเป็นการฆ่าโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย แบ่งออกเป็น 3 ประเภท คือ murder, manslaughter และ infanticide
// homicide           = ฆาตกรรม, การลงมือฆ่า, การฆ่าคน = the killing of one person by another, (=murder)
** be accused of homicide = ต้องหาว่าฆ่าคนตาย
** homicile cases = คดีฆ่าคนตาย


// justifiable           = (อ่านว่า "จัชติฟายเออะบ'ล) ซึ่งแก้ตัวได้, ซึ่งอ้างเป็นข้อแก้ตัวได้, ชอบด้วยเหตุผล, สามารถกล่าวอ้างเหตุผลมาสนับสนุนหรือโต้แย้งได้

= that can be justified
** His actions were ellegal but justifiable on moral grounds.
= การกระทำของเขาแม้ว่าจะไม่ชอบด้วยด้วยกฎหมาย แต่มีเหตุผลพอรับได้ในเรื่องศีลธรรม
** His action was entirely justifiable.
= การกระทำของเขามีเหตุผลพอที่จะรับได้ทุกประการ
** justifiable act = การกระทำที่อ้างเป็นข้อแก้ตัวได้
** Self-defence is considered justifiable in an act of homicide.
= การป้องกันตนเองถือเป็นข้อแก้ตัวได้ในการกระทำผิดฐานฆ่าคนตาย


// force          = แรง, กำลังหรือพลัง
** The force of the explosion knock them to the ground. =
แรงหรือพลังของการระเบิดกระแทกพวกเขาไปกองกับพื้น


// force           = อำนาจบังคับ, ผลบังคับ
** This Act will come into force on the 1st January next year. =
พระราชบัญญัติฉบับนี้จะมีผลใช้บังคับในวันที่ 1 มกราคม ปีหน้า
** The warrant of arrest shall remain in force until the alleged offender has been arrested. = หมายจับยังคงใช้ บังคับได้อยู่จนกว่าผู้ต้องหาจะถูกจับกุม
** the legislative, executive or judicial force. = ผลบังคับในทางนิติบัญญัติ, บริหาร, หรือตุลาการ


// joint           = ร่วมกัน (share, held or done by two or more people together)
** joint debtor = ลูกหนี้ร่วม
** joint creditor = เจ้าหนี้ร่วม
** joint plaintiff = โจทก์ร่วม
** joint defendant = จำเลยร่วม
** joint tortfeasors = ผู้กระทำละเมิดร่วม
** If a surety is bound as a joint-debtor, he has no right to require the creditor to demand performance by the debtor first. =
ถ้าผู้ค้ำประกันรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วม เขาไม่มีสิทธิที่จะเกี่ยงให้เจ้าหนี้เรียกร้องลูกหนี้ชำระหนี้ก่อน


// settlement       =         การชี้ขาด, การกำหนด (ประเด็น), การเปรียบเทียบคดี, การชำระหนี้, การชี้สองสถาน
= an official agreement that ends an argument or a dispute. = ข้อตกลงอย่างเป็นทางการว่าข้อขัดแย้งหรือข้อพิพาทระงับ
** an out-of-court settlement = ข้อตกลงนอกศาล
** After the settlement of issues, the Court shall issue a summons fixing the day of taking evidence. =
หลังจากการชี้สองสถาน (กำหนดประเด็นนำสืบ) ศาลจะออกหมายกำหนดวันสืบพยาน
** Please allow me to postpone settlement of your account. = กรุณาอนุญาตให้ผมเลื่อนการชะระหนี้ในบัญชีออกไปอีก
** settlement of disputes = การชี้ขาดข้อพิพาท, การตกลงกันระงับข้อพิพาท
** The offender has complied with the settlement. = ผู้กระทำผิดได้ปฏิบัติตามการเปรียบเทียบคดี

** The Court fixes the day for settlement of issues. = ศาลกำหนดนัดวันชี้สองสถาน

// term         =      ระยะเวลา, ช่วงเวลา, เงื่อนไข
= a period of time for which something lasts, a fix or limited time
** a long term of imprisonment. = การจำคุกเป็นเวลานาน
** at the end of the term of the lease = สิ้นสุดระยะเวลาแห่งสัญญาเช่า
** The lessee shall vacate the leased premises at the end of lthe term of the lease. = ให้ผู้เช่าออกจากสถานที่เช่าเมื่อสิ้นสุดระยะเวลาแห่งสัญญาเช่า
** The deposit will be refunded at the end of the term of the lease. = มัดจำจะได้รับคืนเมื่อสิ้นสุดระยะเวลาแห่งสัญญาเช่า

// lease      =       สัญญาเช่า, การให้เช่า
= a contract by which the owner of land or of a building allows another person to use it for a specified time, usually in return for rent.
** take out a lease on a commercial property. = นำทรัพย์สิน(อาคารพาณิชย์)ออกให้เช่า
** A lease of immovable property must be made in writing, otherwise it is unenforceable. =
สัญญาเช่าอสังหาริมทรัพย์ต้องทำเป็นหนังสือ มิฉะนั้นจะฟ้องร้องให้บังคับคดีไม่ได้
** A lease is a contract by which one party a lessor, gives to another, a lessee, the use and possession of land buildings, property, etc., for a specific time and fixed payment. =
การเช่าคือสัญญาที่บุคคลหนึ่งคือผู้ ให้เช่า ยอมให้อีกบุคคลหนึ่งคือผู้เช่าได้ใช้และครอบครองที่ดิน อาคาร ทรัพย์สิน ฯลฯ มีระยะเวลาและมีค่าเช่าที่กำหนดไว้

// lease       =       (verb) ให้เช่า
= to permit or obtain the use of something in exchange for rent. = ยอมให้ใช้หรือครอบครองสิ่งใดสิ่งหนึ่งเพื่อแลกกับค่าเช่า
** lease a car. = เช่ารถยนต์
** He leases his house to John. = เขาให้จอห์นเช่าบ้านของเขา

// secure               =(verb) เข้าค้ำประกัน, รับประกัน
= to make something safe; to protect something
** Can the town be secured against attack? = สามารถรับประกันได้หรือไม่ว่าเมืองนี้จะไม่ถูกโจมตี
** A future obligation can be secured in the event that it would take effect. =
หนี้ในอนาคตก็อาจค้ำประกันได้ เพื่อเหตุการณ์ที่หนี้นั้นจะเป็นผลได้จริง
** secured creditor = เจ้าหนี้มีประกันเช่น เจ้าหนี้จำนอง เจ้าหนี้จำนำ เจ้าหนี้ที่มีการค้ำประกัน


// burden              = ภาระหน้าที่
= a duty, an obligation, a responsibility, etc that is not wanted or causes troble.
** the burden of heavy taxation on the taxpayer. =
ภาระหน้าที่ของผู้เสียภาษีในอัตราสูง
** burden of proof = หน้าที่นำสืบ
** The burden of proof of facts lies on the party alleging such fact. =
หน้าที่นำสืบข้อเท็จจริงตกอยู่แก่คู่ความที่อ้างอิงข้อเท็จจริงนั้น
** At criminal trial, the burden of proof is borne by the prosecution on every issue. =
ในการพิจารณาคดีอาญาหน้าที่นำสืบตกอยู่กับฝ่ายโจทก์ทุกประเด็น

** Any party alleges any fact, the burden of proof lies on such party. =
คู่ความฝ่ายใดกล่าวอ้างข้อเท็จจริงอันใด หน้าที่นำสืบตกอยู่แก่คู่ความฝ่ายนั้น

// appear         = มาศาล, มาอยู่ต่อหน้าศาล
= for a party or an attorney to show up in court. = คู่ความหรือทนายความของคู่ความมาศาล
= to attend a lawcourt in order to give evidence or anser a charge.

** appear as a witness = มาศาลในฐานะพยาน
** appear before magistrates. = มาอยู่ต่อหน้าผู้พิพากษา
** The debtor is summoned to appear in the action. =
ลูกหนี้ได้รับหมายเรียกให้มาในคดี
** The plaintiff may enter a petty case by appearing in person to state his claim. =
โจทก์อาจฟ้องคดีมโนสาเร่ได้โดยมาศาลและแถลงข้อหาด้วยตนเอง

// inquiry            = การไต่สวน (คดีแพ่ง), การสอยสวน (คดีอาญา)
= asking; inquiring :
** a court of inquiry = ศาลระบบไต่สวน
** The poice are following several lines of inquiry. = เจ้าหน้าที่ตำรวจกำลังสอบสวนในหลายประเด็น
** The Court makes an inquiry on the application for a temporary injunction. =
ศาลไต่สวนคำร้องขอให้มีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว
** inquiry official = พนักงานสอบสวน
** additional inquiry = การสอบสวนเพิ่มเติม

// trial                  = การพิจารณาคดี
= a formal examination of evidence in court by a judge and often a jury, to decide if sb accused of a crime is guilty or not:
** a murder trial = การพิจารณาคดีฆาตกรรม
** She will stand trial / go on trial for fraud. = เธอจะดำเนินการพิจารณาคดีฉ้อโกงต่อไป
** After the settlement of issues, the Court shall proceed with the trial of the case. =
หลังจากการชี้สองสถาน (การกำหนดประเด็นและหน้าที่นำสืบ) ให้ศาลดำเนินการพิจารณาาคดีต่อไป
** fair trial = การพิจารณาคดีโดยเที่ยงธรรม


// intercourse             = การมีเพศสัมพันธ์ , การร่วมประเวณี

** The prosecution stated that intercourse had occurred on several occasions. = การดำเนินคดีระบุว่าการร่วมประเวณีได้เกิดมีขึ้นหลายครั้ง
** anal intercourse = การร่วมประเวณีทางทวารหนัก

// sexual              = ทางเพศ
** He had sexual intercourse against her will. = เขาข่มขืนกระทำชำเราเธอ
** to gratify the sexual desire of another person. = ทำการเพื่อให้สำเร็จความใคร่ของผู้อื่น

// will               = พินัยกรรม, เจตนา, ความตั้งใจ
= what somebody wants to happen in a particular situation
= a legal document that says what is to happen to somebody’s money and property after they die.
** I don’t want to go against your will. = ฉันไม่ต้องการที่จะทำอะไรที่ขัดความประสงค์ของเธอ
** My father left me the house in his will. = บิดาของผมได้ยกบ้านหลังนี้ให้ผมโดยพินัยกรรม
** A minor after attaining fifteen years of age can make a will. = ผู้เยาว์ที่อายุถึงสิบห้าปีแล้ว ทำพินัยกรรมได้
** We cannot make performance against the will of the debtor. = เราไม่สามารถชำระหนี้โดยฝืนเจตนาของลูกหนี้
** A will is a declaration made by a testator in the form required by law, of what he disires to be done after his death.
พินัยกรรมเป็นการประกาศเจตนาของเจ้ามรดกที่ทำตามแบบที่กฎหมายกำหนดไว้ แสดงว่าเขาปรารถนาจะให้กระทำอย่างไรหลังจากมรณกรรมของเขา

ค้ำประกัน

Suretyship

· Surety (noun) ผู้ค้ำประกัน หลักประกัน

· 1. money given to support a promise that somebody will pay their debts, perform a duty,etc; a guarantee: offer $100 as a surety.

money given = เงินที่ได้ให้ไว้ to support a promise that = เพื่อยืนยันข้อตกลงที่ว่า somebody will pay their debts = เขาจะชำระหนี้ให้

· 2. a person who makes herself or himself responsible for the payment of debts, ets by somebody else: act as surety for somebody.

· Surety for another surety ผู้รับเรือน (ผู้ค้ำประกันของผู้ค้ำประกัน)

· If several persons make themselves sureties for the same obligation, they are liable as joint debtors.

*บุคคลหลายคนยอมตนเข้าเป็นผู้ค้ำประกันในหนี้รายเดียวกัน ผู้ค้ำประกันเหล่านั้นมีความรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมกัน

Suretyship การค้ำประกัน

** A contract of suretyship is not enforceable by action unless there be an evidence in writing signed by the surety.

- สัญญาค้ำประกันถ้ามิได้มีหลักฐานเป็นหนังสือ ลงลายมือชื่อ ผู้ค้ำประกัน ท่านว่าจะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่

- ตามกฎหมายอังกฤษ contract of suretyship กับ contract of guarantee มีความหมายอย่างเดียวกัน

คำว่า suretyship มีความหมายว่าเป็นการค้ำประกัน เหมือนกับคำว่า guarantee (หรือ guaranty) ในตำรากฎหมายอังกฤษใช้คำว่า Contract of guarantee หรือ Contract of suretyship ใช้ได้ทั้งสองอย่าง คือมีความหมายเหมือนกัน

สำหรับคำแปลภาษาอังกฤษของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ไทยใช้คำว่า Contract of suretyship ในความหมายของสัญญาค้ำประกัน

Security หลักประกัน

** A thing of value, eg one’s house, that can be used to make sure that one will pay back borrowed money or keep a promise: lend money on security (ie in return for something given as security)

** An earnest serves as a security that the contract shall be performed.

- มัดจำใช้เป็นหลักประกันว่าสัญญาจะได้รับการปฏิบัติ

** The Court may order the applicant to deposit money as security.

- ศาลอาจจะสั่งให้ผู้ร้องขอ วางเงินเป็นประกัน

Section 680 Suretyship is a contract whereby a third person, called the surety, binds himself to a creditor to satisfy an obligation in the event that the debtor fails to perform it.

A contract of suretyship is not enforceable by action unless lthre be some written evidence signed by the surety.

อันว่าค้ำประกันนั้นคือสัญญาซึ่ง บุคคลภายนอกคนหนึ่ง เรียกว่าผู้ค้ำประกันผูกพันตนต่อเจ้าหนี้คนหนึ่ง เพื่อชำระหนี้ในเมื่อลูกหนี้ไม่ชำระหนี้นั้น

อนึ่งสัญญาค้ำประกันนั้น ถ้ามิได้มีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ค้ำประกัน เป็นสำคัญ ทานว่าจะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่

ทำอย่างไรจึงประสบความสำเร็จในวิชาชีพทนายความ

$
0
0

เรื่องของวิชาชีพ(Professional)
“ ทนายความ” นั้น ตามความคิดของคนโดยทั่วไปจะมีภาพรวมสรุปว่าเป็นผู้ประกอบวิชาชีพในด้านค้าความ ทำหน้าที่ว่าต่างแก้ต่างคดีในศาลต่างๆ แทนตัวความ ซึ่งความเข้าใจอันนี้ไม่ผิดไปจากตัวความหมายของคำว่า“ ทนายความ”ในพระราชบัญญัติทนายความ พ.ศ. 2528 ที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน ดังนั้น บทบาทของทนายความจึงถูกจำกัดอยู่ในหน้าที่ที่แคบว่าทนายความในนานาประเทศ บนพื้นฐานเช่นนี้ทำให้วิชาชีพทนายความไม่ได้รับการพัฒนาเท่าที่ควร ต่างกับประเทศในตะวันตกที่วิชาชีพทนายความนั้นนอกจากจะเป็นเรื่องของการว่าความในศ่ลแล้วยังรวมถึงการทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษากฎหมาย รวมตลอดถึงภาษีอากรและธุรกิจต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกันด้วย ดังนั้น วิชาชีพทนายความจึงมีความหลากหลายและมีทางเลือกให้ทนายความที่มีความสามารถเด่นเฉพาะทางที่จะพัฒนาตนเองและให้บริการวิชาชีพในฐานะผู้เชี่ยวชาญในกฏหมายและธุรกิรในแต่ละแขนงได้


แต่การเป็นทนายความตามสถานภาพในสังคมไทยในปัจจุบันนั้นวนเวียนอยู่แต่เฉพาะในเรื่องของการว่าความเป็นส่วนใหญ่ การดำรงชีพในฐานะทนายความจึงมีข้อจำกัดอยู่แต่เฉพาะในเรื่องของความสามารถในการว่าความ การเตรียมคดีและการรวบรวมพยานหลักฐานสนับสนุนคำฟ้องหรือคำให้การของตนในคดี ชื่อเสียงและความก้าวหน้าในวิชาชีพจึงมีข้อจำกัดอยู่กับลักษณะและความสำคัญของประเภทคดีประกอบกับชื่องเสียงของทนายความที่ได้สร้างสมบารมีทีละเล็กละน้อยว่าทนายความผู้นั้นมีความเชี่ยวชาญในสาขาคดีปรปะเภทใด ตัวอย่างเช่น เป็นทนายความผู้เชี่ยวชาญคดีมรดกนั้นก็หมายถึงรู้เรื่องของการดำเนินคดีมรดก การแบ่งปันมรดก สิทธิของทายาทเป็นอย่างดี หรือถ้าเป็นทนายความที่เชี่ยวชาญในคดีอาญาก็อาจจะต้องแยกออกไปอีกว่าจะเป็นผู้เชี่ยวชาญในเรื่องของการทำคดีอาญาที่เกี่ยวกับการไม่ใช้เงินตามเช็ค

ความจำเป็นที่จะต้องพิจารณาหาโอกาสขยายขอบเขตของวิชาชีพให้มากกว่าที่เป็นอยู่ จึงเป็นความสำคัญเบื้องต้นที่ทนายความจะต้องคิด และต้องเข้าใจให้เป็นที่ถ่องแท้ว่าวิชาชีพทนายความนั้น
(เช็คเด้ง) คดีอาญาที่เกี่ยวกับเรื่องความผิดต่อชีวิตร่างกายคดีอาญาที่เกี่ยวกับเรื่องยาเสพติด เป็นต้น ดังนั้นจีงเห็นได้ว่าขอบเขตของการทำงานในหน้าที่ทนายความในเมืองไทยนั้นแคบมาก ถ้าจะมีชื่องเสียงในเรื่องของการว่าความก็จะเป็นเรื่องเฉพาะตัวและจำกัดอยู่ในวงของคนที่รู้จักกันไม่มาก ไม่ว่าจะเป็นทั้งในส่วนกลางส่วนภูมิภาคและในแต่ละจังหวัด กรณีอย่างนี้จะถือว่ามีความมสำเร็จในวิชาชีพทนายควมก็คงจะนับได้เพียงระดับหนึ่งเท่านั้น ถ้าหากจะเปรียบเทียบกับการประกอบวิชาชีพทนายความในต่างประเทศคงจะยังไม่ได้ เพราะความสันทัดจัดเจนในเรื่องของคดีความเฉพาะทางอาจจะยังไม่เพียงพอที่จะให้ทนายความนั้นสามารถดำรงชีพอยู่ได้ในสาขาที่ตนประกอบอาชีพอยู่จะต้องไม่อยู่ในวงจำกัดเฉพาะการว่าความอย่างเดียวจำเป็นต้องสร้างศักยภาพทางด้านอื่นซึ่งก็คือการเป็นที่ปรึกษากฎหมายให้ควบคู่กันไปให้จงได้

ความสำเร็จในวิชาชีพใดวิชาชีพหนึ่งนั้นหากจะถือให้เป็นมาตรฐานได้นั้นก็ต้องเป็นเรื่องของการยอมรับโดยรวมของสังคมถึงความสามารถ ในตัวบุคคลของสาขาผู้ประกอบวิชาชีพนั้นๆ ว่าเป็นผู้ที่มีความเพรียบพร้อมไปด้วยความตั้งใจแน่วแน่มั่นคงในวิชาชีพ มีความรู้ประสบการณ์และมีความสามารถที่จะใช้วิชาชีพนั้นอย่างเป็นผู้มีคุณธรรม ซึ่งนอกจากจะทำประโยชน์ให้กับตนเองแล้วยังได้มีการอุทิศส่วนหนึ่งของการทำงานของตนให้กับสังคมด้วย
ดังนั้น ถ้าใช้มารตรฐานเช่นนี้มาปรับเข้ากับการประกอบวิชาชีพทนายความก็สามรถจะสรุปสาระสำคัญได้เป็นกรณีๆ ดังต่อไปนี้

ประการที่หนึ่ง
ผู้ที่จะก้าวเข้ามาเป็นทนายความและที่ปรึกษากฎหมายต้องมีความตั้งใจที่มั่งคงแน่วแน่ในความเชื่อหรืออย่างน้อยมีความศรัทธาต่อวิชาชีพทนายความที่ปรึกษากฎหมาย บางคนเข้าเรียนในโรงเรียนสอนกฎหมายคือในคณะนิติศาสตร์ของมหาลัยต่างๆ ในปัจจุบันนั้นโดยไม่ได้ตั้งใจที่จะเป็นผู้ใฝ่รู้ทางกฎหมายอย่างจริงจัง เพราะบางคนเลือกเรียนวิชานิติศาสตร์เป็นอันดับสุดท้ายหรือไม่รู้ว่าจะเรียนอะไรดีแล้วก็เลยเลือกเรียนวิชานิติศาสตร์หรือถูกบังคับให้เรียน ซึ่งผลจากการเลือกเรียนเช่นนี้ย่อมเป็นที่เห็นได้ว่ามาตรฐานเบื้องต้นของการวัดความตั้งใจของตนเองและความเข้าใจที่จะเป็นนักกฎหมายมืออาชีพในอนาคตนั้น เพียงเริ่มต้นความคิดที่จะเรียนรู้กฎหมายให้จริงจังและจะใช้กฎหมายเป็นรากฐานของการประกอบสัมมาชีพจึงเกิดขึ้นได้ยากในบุคคลเหล่านี้ กรณีไม่จำเป็นเสมอไปที่ว่าบุตรของนักกฎหมายจะต้องเป็นนักกฎหมาย ถ้าหากเขาเหล่านั้นไม่ชอบหรือไม่รักที่จะเรียนรู้วิชากฎหมายก็ไม่มีปรปะโยชน์ ขณะเดียวกันถ้าหากว่าบทบาทของทนายความในปัจจุบันยังไม่เป็นที่ยอมรับถูกมองไปในทางลบเพราะคุณภาพของบริการวิชาชีพที่ทำไม่เกิดประโยชน์ต่อประชาชนโดยรวมผลที่ได้ก็คือว่าความศรัทธาต่อวิชาชีพก็จะหย่อนยาน ทุกคนจะมองว่าการศึกษาวิชานิติศาสตร์เป็นเพียงทางผ่านเพื่อให้จบและรับปริญญานิติศาสตร์บัณฑิตเท่านั้น ต่อจากนั้นไปอาจจะไปเรียนทางมหาบัณฑิตด้านบริหารธุรกิจต่อตามความใฝ่ฝันของตัวเองก็ได้นี่คือเรื่องที่เกิดขึ้นจริงๆ ในขณะนี้จากประสบการณ์ของการสอบถามผู้ที่มาสมัครงาน ผู้ที่มาฝึกฝนอบรมเป็นทนายความ ผู้ที่ทำงานในธุรกิจอื่นแต่จบมาทางนิติศาสตร์ ดังนั้น จึงสรุปได้ว่าประการสำคัญในเบื้องต้นก็คือว่าผู้ที่จะปรปะกอบวิชาชีพทนายความนั้นต้องเข้าใจขอบเขตและความสำคัญของวิชาชีพทนายความความที่ทีต่อตนเองและสังคมให้ถ่องแท้ ต้องศึกษาถึงประสบการณ์ของทนายความรุ่นก่อนที่ได้ประสบความสำเร็จในวิชาชีพว่าต้องฝ่าฝันอุปสรรคมาอย่างไรให้ดีที่สุด เพื่อที่จะให้ตนเองเข้าใจว่าได้รู้ภารกิจของวิชาชีพทนายความนี้ดีที่สุดแล้ว จึงตัดสินใจที่จะดำรงชีพของตนโดยใช้วิชาชีพนี้เป็นหลัก เมื่อทำใจได้เช่นนี้แล้วก็ต้องยึดถือเป็นหลักตลอดไป โดยเฉพาะจะต้องไม่หวั่นไหวต่อตำแหน่งหรือลาภยศอื่นนอกเหนือจากผลที่ได้จากการประกอบวิชาชีพกฎหมายรวมทั้งต้องไม่แสวงหาหรือทำกิจการอื่นจนเป็นเหตุให้การประกอบวิชาชีพกฎหมายนั้นตกเป็นรอง เช่นทำอาชีพนายหน้าประกันภัย ขายวัสดุก่อสร้าง จัดสรรที่ดิน เปิดร้านค้าขายของ เล่นหุ้น หรือเป็นนายหน้าค้าธุรกิจอื่นๆ การทำกิจการธุรกิจที่กล่าวมานี้ไม่ใช่เป็นของไม่ดี แต่แน่นอนจะให้บุคคลหนึ่งบุคคลใดประสบความสำเร็จในวิถีชีวิตของการทำงานที่มีแนวทางต่างกันโดยพร้อมกันในหลายๆด้านนั้นคงจะเกิดขึ้นน้อยมาก ดังนั้น ถ้าใจไม่มั่นคงต่อวิชาชีพแล้ว อานุภาพของการใช้ความรู้ทางกฎหมายก็เริ่มหย่อนยาน เพราะจะต้องไปกังวลถึงธุรกิจอื่นที่ตนเองทำอยู่ว่ามันอาจจะขาดทุนหรือกำไรน้อยลงหรือหมดตัว เช่นในกรณีของการไปเล่นหุ้นคือไปลงทุนซื้อขายหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์ ตรงนี้ต้องเข้าใจให้ดีว่าการลงทุนซื้อขายหลักทรัพย์นั้นเป็นของถูกต้องเป็นของดี แต่ต้องทุ่มเทให้กับการศึกษาเรียนรู้ลู่ทางการลงทุนให้เต็ม
100 % จึงจะเข้าใจสภาพของตลาดทุนได้ถูกต้อง ดังนั้น ถ้าหากว่าส่วนหนึ่งของการทำงานมาประกอบวิชาชีพทนายความก็จะเกิดข้อขัดแย้งกันในเรื่องของการทำหน้าที่ศึกษาวิเคราะห์คดี ในขณะที่จิตใจส่วนหนึ่งยังห่วงอยู่ทุกวันเวลาที่ตลาดหุ้นเปิดทำการว่าหุ้นของตัวเองที่ซื้อไว้จะขึ้นหรือลง ความกังวลเช่นนี้ย่อมเป็ฯจุดเสื่อมของความคิด ทำให้ไม่มีเวลาที่จะตัดสินใจวินิจฉัยข้อกฎหมายและข้อเท็จจริงให้รอบคอบ ทำให้เกิดข้อผิดพลาดและไม่สร้างความประทับใจให้กับผู้มาใช้บริการวิชาชีพทนายความแต่อย่างใด ดังนั้น ถ้าจะทำวิชาชีพอื่นควบคู่ไปด้วยต้องทำในสาขาที่เป็นกรณีสนับสนุนวิชาชีพทนายความ เช่น การสอนวิชากฎหมายในโรงเรียน สถาบันการศึกษาแขนงนิติศาสตร์ทุกแห่งเท่าทีจะมีโอกาสทำหรือการบรรยายกฎหมายให้แก่สมาคนธุรกิจ องศ์กรที่ได้รับเชิญเป็นครั้งเป็นคราว กรณีนี้เห็นได้ชัดเจนว่าจะเป็นเครื่องส่งเสริมและกระตุ้นให้ทนายความมีความใฝ่รู้ในหัวข้อที่จะเป็นผู้บรรยาย และทำให้มีความสามารถในการใช้กฎหมายในแต่ละเรื่องที่ได้รับเชิญมาดีขึ้นเรื่อยๆ ถ้าในหนึ่งปี ได้รับเชิญไปบรรยายถึงสิบครั้งก็ต้องยอมรับว่าความรู้สิบครั้งจาการบรรยายนั้นโดยเฉพาะถ้าหากเป็นหัวข้อที่แตกต่างกันก็จะเพิ่มพูนมากขึ้นเป็นทวีคูณ การใช้กฎหมายก็จะออกอรรถรสมีความสนุกและเป็นประโยชน์ทั้งต่อตนเองกับผู้ที่เข้ามารับฟังการยรรยาย ไม่ว่าจะเป็นเด็ก นักเรียน นักศึกษาหรือเพื่อนร่วมวิชาชีพหรือต่างวิชาชีพ ดังนั้นความจำเป็นที่ต้องตั้งใจให้แน่วแน่มั่นคงเช่นนี้จึงเป็นเรื่องที่ควรจะพึงถือปฎิบัติเป็นอย่างยิ่ง

ประการที่สอง
ต้องมีความขยันอย่างต่อเนื่องที่ยกเอาประเด็นข้อนี้มานำเสนอ ก็เพราะว่าผู้เขียนเองชอบคำพูดของประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมิกาคือท่านอับราฮัม ลินคอล์น ซึ่งพูดเกี่ยบกับวิชาชีพทนายไว้เป็นข้อความที่ทนายความทุกคนควรถือเป็นข้อถือปฎิบัติเป็นอย่างย่อ ท่านได้พูดไว้ดังนี้
 
 “The leading rule for the lawyer, as for the man of every calling, is diligence…leave nothing for tomorrow which can be done today…whatever piece of business you have in hand, before stopping, do all the labour pertaining to it which can be done…discourage litigation. Persuade your neighbours to compromise whenever you can…never stir up litigation…who can be more nearly a friend than hewho habitually overhauls the register of deeds in search of defects in titles, whereon to stir up strife and put money in his pocket… There is a vague popular belief that lawyers are necessarily dishonest…let no man choosing the law for calling for a moment yield to the popular belief-resolve to be honest at all events

ทนายความเฉกเช่นเดียวกับบุคคลในวิชาชีพอื่นๆ พึงมีหลักประจำใจอันสำคัญคือการมีความขยันหมั่นเพียร อย่าปล่อยสิ่งใดที่พึงกระทำในวันนี้ไว้ กระทำในวันรุ่งขึ้น ไม่ว่าท่านกำลังทำกิจการงานธุรกิจอันใดให้กระทำการทุกสิ่งที่พึงกระทำนั้นให้สำเร็จลงก่อนจะหยุดงานนั้น อย่าสนันสนุนให้เป็นคดีความ พยายามโน้มน้าวเพื่อนบ้านของท่านให้รู้จักการประนีประนอม เมื่อท่านสามารถทำได้ อย่ายุยงเกิดคดีความ คนที่เป็นคนเลวคือคนที่พยายามสำรวจตรวจตราทะเบียนและใบสำคัญต่างๆ เพียงเพื่อแสวงหาตำหนิหรือข้อผิดพลาดในเอกสารเหล่านั้นเพื่อก่อให้เกิดข้อพิพาทและแสวงหาเงินทองเข้ากระเป๋าตนเอง

คนทั่วไปมักเชื่อกันว่าทนายความเป็นคนไม่ซื่อสัตย์ ฉะนั้น บุคคลใดที่เลือกอาชีพทนายความแม้กระทั่งชั่วขณะหนึ่งขณะใดจะต้องไม่ปล่อยตนให้เป็นไปตามความเชื่อดังกล่าวนั้น จงเป็นคนซื่อสัตย์เสมอและตลอดเวลา ถ้าในขณะใดที่ท่านคิดว่าท่านไม่สามารถเป็นทนายความที่ซื่อสัตย์ได้แล้วพึงพิจารณาเลือกเป็นคนซื่อตรงโดยไม่จำเป็นต้องเป็นทนาย

and if in your judgment your cannot be an honest lawyer, resolve to be honest without being a lawyer.

”ถ้อยคำของท่านของท่านประธานาธิบดีอับราฮัม ลินคอล์น ข้างต้นถอดความเป็นภาษาไทยได้ดังนี้”

จากคำเตือนที่ท่านประธานาธิบดี ลินคอล์นพูดไว้ข้างต้นจะเห็นได้ว่าวิชาชีพทนายความไม่มีวันหยุดนิ่ง ทนายความไม่ใช่บุคคลเดียวกันกับที่จบเป็นบัณฑิตทางนิติศาสตร์หรือรับใบอนุญาตว่าความในแต่ละรุ่นเช่นในเมืองไทยเท่านั้น ลองเทียบดูว่าในแต่ละรุ่นนั้นมีทนายความที่ใช้ชีวิตเป็นทนายความหรือที่ปรึกษากฎหมายร้อยละเท่าไร เมื่อพิจารณาดูแล้วตัวเลขที่หายไปนั้นน่าตกใจ เพราะที่เหลืออยู่เป็นทนายความที่แท้จริงอาจจะไม่ถึง30 % ทั้งนี้เพราะเหตุว่าการที่ต้องทำตนขยันศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมอยู่ตลอดเวลาเพื่อให้เป็นบุคคลากรที่มีความสามารถตอบสนองความต้องการของลูกความ ได้ในทุกสภาพนั้นเป็นเรื่องที่หลายคนอาจจะท้อแท้เพราะไม่รู้ว่าเมื่อไรจะหยุดเรียนหยุดศึกษากันสักที จะทำงานในอาชีพอื่นปกติที่เรียนที่เรียนแล้วจบหลักสูตรไม่ต้องเรียนต่ออีกได้หรือไม่ ซึ่งผู้เขียนก็เชื่อว่ามีน้อยที่แขนงวิชาอื่นจะไม่ศึกษาต่อ ยกเว้นบุคคลนั้นเลือกที่จะหยุดหาความรู้เพิ่มเติม แต่ในขณะวิชาชีพอิสระเช่นวิชาชีพทนายความนั้น การหยุดอยู่กับที่เท่ากับถอยหลังไปอีกเก้าหนึ่งเพราะคลื่นลูกใหม่ที่เป็นบัณฑิตใหม่ทางกฎหมายก็จะก้าวนำไปและก้าวต่อไป จนกระทั่งทิ้งผู้ที่หยุดอยู่กับที่ไว้ข้างหลัง ดังนั้น ภารกิจของทนายความในส่วนนี้ต้องไม่มีข้ออ้างในแขนงวิชาการที่ตนชอบ ซึ่งเป็นกรณีที่ไม่อาจรับฟังได้เลย

ประการที่สาม

อย่างไรก็ดี สภาพของการเป็นผู้นำในกระบวนการยุติธรรมนั้น สิ่งหนึ่งที่ต้องยอมรับกันและหลีกเลี่ยงไม่ได้ก็คือความซื่อสัตย์ หากปราศจากซึ่งความซื่อสัตย์เสียแล้วทุกอย่างก็หมดความหมาย มีทนายความหลายคนที่ไม่อาจก้าวสู่ความสำเร็จในชีวิตทนายความเพราะเห็นแก่อามิสสินจ้างเล็กๆน้อยๆ เห็นแก่การเบียดเบียนทรัพย์ของลูกความเพียงจำนวนไม่เท่าไรก็เป็นผลให้ต้องถูกร้องเรียน ศรัทธาและความเชื่อถือตรงนี้จึงขึ้นอยู่กับข้อถือปฏิบัติของทนายความแต่ละคนแต่ละสำนักงานเป็นสำคัญ โดยเฉพาะทนายความที่ได้รับความไว้วางใจมอบหมายให้เป็นผู้ถือเงินของลูกความซึ่งประเพณีในระบบของการใช้บริการทางกฎหมายของประเทศตะวันตก ทนายความจะมีบัญชีที่เรียกว่า
ต้องมีความซื่อสัตย์ต่อวิชาชีพกฎหมาย นอกจากจะมีความตั้งใจแน่วแน่ในประการแรกแล้ว เรื่องสำคัญที่รวมพูดอยู่ในประการที่สองด้วยก็คือเรื่องความซื่อสัตย์ ดังคำพูดของท่านประธานาธิบดีอับราฮับ ลินคอล์น ซึ่งมีความหมายอย่างมากต่อการดำรงตนในฐานะเป็นผู้ประกอบวิชาชีพอิสระในประเทศสหรัฐอเมริกาการใช้ทนายความอาจจะเกือบเรียกได้ว่าเกี่ยวข้องกับการดำรงชีวิตประจำวันของคนอเมริกันทุกคน แม้จะมีคำเสียดสีวิชาชีพทนายความในสหรัฐอเมริกาในแง่ลบในหลายๆประการ สิ่งหนึ่งที่ทนายความส่วนใหญ่ในสหรัฐอเมริกาได้รับความนิยมก็คือความสื่อสัตย์ต่อวิชาชีพ กล่าวคือมีการยอมรับทั่วไปว่าเป็นทนายความโดยวิชาชีพที่แท้จริง โดยเฉพาะในด้านของความซื่อสัตย์ต่อลูกความ ต่อกระบวนการยุติธรรมและทำหน้าที่ช่วยผดุงความยุติธรรมได้เป็นอย่างดี มีคำกล่าวกันว่าในประเทศสหรัฐอเมริกานั้นทนายความเป็นผู้ควบคุมกฎกติกาของสังคม แม้หลายๆคนจะไม่ชอบวิชาชีพทนายความโดยมุมมองที่มีไปในทางลบ ในทำนองเดียวกับที่เป็นอยู่ในประเทศไทย แต่เนื่องจากความเป็นผู้ใช้กฎหมายในระบอบสังคมที่เปิดกว้างอย่างสหรัฐอเมริกาจึงพูดได้ว่า เขาเป็นผู้กำหนดกฎเกณฑ์หรือบรรทัดฐานของสังคมหรืออีกนัยหนึ่งก็คือ เป็นผู้ควบคุมวินัยของสังคมตั้งแต่ประธานาธิบดีลงมาจนถึงประชาชนทุกหมู่เหล่า แน่นอนระบอบสังคมและกฎหมายที่แตกต่างย่อมจะนำมาเปรียบเทียบกับของไทยไม่ได้Trust Account ของลูกความไว้ ทนายความจะเป็นผู้เบิกจ่ายบัญชีนั้นด้วยตนเอง ทำรายรับ รายจ่าย และแจ้งให้ลูกความทราบถึงสถานะการเงินเป็นประจำเป็นรายเดือนหรือรอบสามเดือน ทนายความกับบัญชีของตัวความจึงต้องมีความละเอียดและโปร่งใสอยู่เสมอ แต่ก็มีทนายความบางรายนำเงินดังกล่าวโอนไปเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ เป็นดอกเบี้ยของตนเองซึ่งได้มีการร้องเรียนและถูกลงโทษในระบบของคดีมรรยาททนายความ แต่การรับเงินเข้าบัญชีนั้นยังเกิดน้อยมากในเมืองไทย เพราะลูกความจะไม่ส่งเงินจำนวนมากมาฝากไว้ในบัญชี Trust Account กับทนายความ หรือเพื่อรอที่จะชำระเงินตามข้อตกลงในคดีกรณีเช่นนี้ยังไม่อาจนำมาใช้ในเมืองไทยให้เป็นที่แพร่หลายได้ ยกเว้นในสำนักงานทนายความที่ให้คำปรึกษากฎหมายกับบริษัทในเครือของประเทศเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับการลงทุนข้ามชาติ การซื้อกิจการ การควบกิจการก็ดี ทนายความจะเป็นผู้ได้รับความไว้วางใจให้เป็นผู้รักษาเงินของลูกความที่โอนมาจากต่างประเทศเป็นจำนวนมาก บางครั้งจำนวนหลายสิบล้านบาทและหลานร้อยล้านบาท ถ้าทนายความสามารถแสดงศักยภาพและได้รับความไว้วางใจจนถึงระดับที่ลูกความโอนเงินมาให้ในบัญชี
Trust Account ของทนายความแล้ว ก็ย่อมเป็นประจักษ์พนฃยานอย่างหนึ่งว่าในเรื่องของความซื่อสัตย์ความโปร่งใสของบุคคลผู้เป็นทนายความหรือของสำนักงานดังกล่าวก็จะต้องจัดเตรียมบัญชี รวมทั้งจะต้องไม่ดำเนินการโอนย้ายเงินในบัญชีไปฝากที่บัญชีอื่นที่ดอกเบี้ยมากกว่าแล้วถึงโอนกลับเมื่อเวลาจะต้องใช้เงิน จะต้องไม่แสดงถึงควมเคลื่อนไหวของเงินที่ผิดปกติของในบัญชีของตน ซึ่งความเคลื่อนไหวนั้นจะเป็นไปได้ก็ต่อเมื่อได้รับอนุญาตจากลูกความเท่านั้น ดังนั้น ข้อถือปฏิบัติในเรื่องของความซื่อสัตย์จึงเสมือนหนึ่งเป็นหนังสือรับรองที่ดีและย่อมเป็นที่ภาคภูมิใจของทนายความและของสำนักงาน ถ้าหากไม่ซื่อสัตย์เสียแล้วก็ต้องไปพิจารณาตนเองตามคำพูดของประธานธิบดีอับราฮัม ลินคอล์นในข้อสอง

ประการที่สี่
จะต้องมีความอดทน ทนายความนั้นไม่มีข้อจำกัดในเรื่องของการรับเป็นที่ปรึกษารับเป็นทนายความเกือบทุกเรื่องและแก่บุคคลทุกประเภท ซึ่งเป็นข้อถือปฏิบัติโดยทั่วไปของทนายความในบ้านเรา ยกเว้นทนายความบางคนที่สามารถจะเลือกและรับทำคดีเฉพาะที่ตนเองถนัดได้ซึ่งย่อมหมายถึงว่าทนายความท่านนั้นมีชื่อเสียงและประสบการณ์ในคดีเฉพาะทางนั้นเป็นที่ไว้วางใจของสังคมหรือชุมชนในท้องที่นั้นแล้ว และสามารถดำรงชีพอยู่ได้โดยอาศัยความเชี่ยวชาญเฉพาะทางนั้น แต่ทนายความส่วนใหญ่แล้วจำเป็นต้องขวนขวาย รีบรับเรื่องราวทุกเรื่องโดยไม่มีข้อจำกัด ดังนั้น การที่ต้องฝึกฝนตนองที่ต้องอาศัยควมอดทนค่อนข้างสูง ต้องมีความมานะบากบั่นที่จะค้นคว้าหาความรู้ รวมทั้งในประการสำคัญคือจะต้องอดทนอดกลั้นต่อความรู้สึกของลูกความ ไม่ว่าตัวความหรือลูกความนั้นจะอยู่ในสภาวะใด สิ่งที่ลูกความต้องการที่สำคัญคือกำลังใจจากทนายความ บางครั้งต้องมีการอธิบายข้อเท็จจริง และข้อกฎหมายที่ยืดยาวบางครั้งอาจจะต้องรวบรัดให้สั้นลง ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับลักษณะของคดีตัวความและความสนใจของตัวความ ตัวความบางคนอาจเป็นคนที่ใจร้อนอาจจะคิดว่าประสบการณ์ในเรื่องธุรกิจในวิชาชีพอื่นนั้นมีความสันทัดจัดเจนกว่าทนายความและพยายามที่จะสอนเทคนิคต่างๆ ซึ่งบางครั้งในวิชาชีพทนายความก็ไม่มีความจำเป็นหรือเป็นเรื่องที่ทำให้เสียโอกาสถ้าจะปล่อยให้ตัวความอธิบายเช่นนั้นหรือทำสัญญาไปในรูปนั้น บางครั้งไม่เข้าใจหรือยากทีจะอธิบายข้อกฎหมายให้กับตัวความในระยะเวลาสั้นก็ไม่อาจจะทำได้ ในกรณีเช่นว่านี้จึงจำเป็นที่ต้องใช้เวลาใช้ความอดทนที่ต้องให้ลูกความนั้นเข้าใจถึงระบบวิธีการตามกฎหมาย บางครั้งความใจเร็วด่วนได้ของลูกความก็อาจจะทำให้คดีหรือการเจรจาความเสียไป ทนายความจึงต้องเป็นผู้ที่สุขุมเยือกเย็นพอสมควรในบางสภาวะ ซึ่งเป็นส่วนใหญ่ของการประกอบวิชาชีพจะต้องเป็นผู้รับฟังที่ดี และหลีกเลี่ยงการเป็นปากเสียงกับลูกความให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ แน่นอนในการทำงานนั้นย่อมมีทั้งคนดีและคนไม่ดีที่จะต้องพบพาเสมอ และถึงแม้ลูกความจะเป็นคนที่อาจจะเรียกได้ว่านิสัยรับไม่ได้เลยนั้นก็ต้องถือว่าเป็นเรื่องของโชค ซึ่งทนายความไม่อาจเลือกได้ ความอดทนสำคัญอีกประการหนึ่งคือการดำรงตนในอาชีพทนายความที่ในระยะแรกอาจมีรายได้น้อย ดูแล้วไม่คุ้มกับคุณภาพของงานที่ทำหรือถ้าไปเทียบกับอาชีพอื่นที่จบการศึกษารุ่นราวคราวเดียวกัน รายได้ของทนายความดูจะน้อยและต่ำกว่าอยู่มาก ซึ่งกรณีนี้ถือว่าเป็นเรื่องปกติต้องยอมรับว่าในการฝึกฝนวิชาชีพนั้นไม่ว่าจะเป็นแพทย์ วิศวกร หรือสถาปนิก ในช่วงเริ่มต้นก็จะเป็นลูกมือเป็นแพทย์ฝึกหัด เป็นวิศวกรฝึกหัด เป็นสถาปนิกฝึกหัดและทนายความฝึกหัดกับรุ่นพี่จนตนเองมีความมั่นใจในการประกอบอาชีพโดยลำพังแน่นอนแล้ว จึงจะขยับขยายและเมื่อถึงจุดนั้นรายได้ของทนายความก็จะเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะค่าวิชาชีนั้นไม่มีขั้นตอนกำหนด ขึ้นอยู่กับความสามรถของทนายความเป็นสำคัญ ดังนั้น ถ้าหากว่าทนายความจะฝึกฝนทำตนเองให้มีคุณภาพมากยิ่งขึ้น ย่อมเป็นของแน่นอนที่ทนายความจะมีความก้าวหน้าขึ้นเป็นลำดับ สามารถใช้ประสบการณ์ใช้กฎหมายได้อย่างคล่องตัว สามารถชี้แจงทำความเข้าใจให้กับลูกความที่มาพบหา สนทนาปรึกษาด้วยเสมือนหนึ่งเป็นญาติผู้ใกล้ชิด ซึ่งคุณลักษณะเช่นนี้ย่อมจำเป็นต้องมีในอาชีพทนายความ ซึ่งพฤติกรรมของลูกความที่ทนายความต้องพบลักษณะของคดีที่จะต้องค้นคว้าการติดต่อกับบุคคลในอีกหลายแห่ง หลายสถานจำเป็นที่ต้องมีการฝึกฝนตนให้มีความแจ่มใสและมีความสุขกับการทำงานในหน้าที่ทนายความอย่างเสมอต้นเสมอปลายและในทุกสถานะการณ์

ประการที่ห้า
ต้องแบ่งปันและให้บริการแก่สังคม เป็นกรณีที่ทนายความต้องเป็นคนที่ต้องเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่และอุทิศตนให้สังคมเมื่อมีโอกาศทุกครั้ง บางท่านสำเร็จการศึกษาประกอบอาชีพทนายความมานานนับสิบปีแล้วไม่รู้จักใครเลย นอกจากลูกความของตนเองไม่เคยติดต่อพบปะเพื่อนร่วมวิชาชีพ ยกเว้นที่จะพบกันในศาลหรือในการเจรจาความถือความสันโดษเป็นที่ตั้ง ย่อมถือไม่ได้ว่าเป็นผู้ที่ได้ใช้วิชาชีพช่วยเหลือสังคม ถึงแม้จะปฏิบัติตัวดีต่อลูกความแต่การบริการต่อชุมชนโดยเฉพาะการช่วยเหลือประชาชนทางกฎหมายเป็นสิ่งหนึ่งที่ไม่อาจจะแยกไปจากการประกอบอาชีพทนายความตามปกติได้ทั้งนี้เพราะการเสนอตัวรับใช้สังคมนั้นไม่จำเป็นจะต้องเป็นกรณีที่จะต้องบริจาคเงินหรือทรัพย์สินเหมือนเช่นในกรณีอื่น ทนายความยังสามารถที่อุทิศตนเป็นผู้บรรยาย เป็นอาจารย์สอนในสถาบันต่างๆที่เกี่ยวข้องกับวิชาชีพกฎหมาย รวมตลอดถึงวิชาชีพอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับกฎหมายเท่าที่ตนจะสามารถกระทำได้ด้วย การอุทิศตนเช่นว่านี้ย่อมจะเป็นกุศลให้แก่ทนายความผู้นั้นและในขณะ เดียวกันทำให้ตนเองได้เรียนรู้จากบรรดาผู้ที่เข้าฟังบรรยายไม่ว่าจะเป็นนัก เรียนนักศึกษาหรือผู้ฟังจากชุมชนใดทั้งจะเป็นการเสริมสร้างกำลังใจให้มี วิสัยทัศน์ที่กว้างไกล มีความโอบอ้อมอารีต่อผู้ที่มีโอกาสน้อยกว่า ทนายความจึงต้องไม่ใช่คนที่ฉวยโอกาสรับเรื่องราวหรือคดีที่มีประโยชน์ต่อตน เองฝ่ายเดียว ในบางครั้งถ้าเป็นคดีที่ผู้ยากจนต้องใช้บริการก็จำเป็นต้องให้ความช่วยเหลือ ด้วย การร่วมทำกิจกรรมในองค์กรก็ยังเป็นสิ่งหนึ่งที่ช่วยให้มีความเข้าใจและได้ สาระประโยชน์อย่างมาก โดยเฉพาะการฝึกฝนอบรมการบรรยายนั้นนอกเหนือจากจะเป็นผู้มีใจกุศลแล้วยัง สร้างความมั่ยใจในวิชาชีพและสร้างประสบการณ์ให้กับการเสนอความเห็นต่อสาธารณ ชนและต่อตัวความ ซึ่งถือได้ว่าเป็นประโยชน์ทางอ้อมที่ได้มาโดยการอุทิศตนต่อสังคมนั่นเอง

ประการสุดท้าย
ก็คือการเป็นผู้มีความมัธยัสถ์ ทนายความนั้นไม่อาจจะตั้งปณิธานได้ ว่าเป็นทนายความเงินล้าน ทนายความเงินหนึ่งร้อยล้าน เมื่อข้าพเจ้าอายุเท่านั้นเท่านี้ควรจะมีรถยนต์ยี่ห้อนั้นยี่ห้อนี้หรือมี บ้านหลังใหญ่ในทำนองเดียวกับธุรกิจแขนงอื่น เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญที่ต้องเข้าใจ เพราะไม่สามารถที่จะกำหนดเวลาหรือย่นระยะเวลาให้สั้นได้ถึงความสำเร็จที่จะ วัดกันเป็นคุณค่าของวัตถุได้ วึ่งแน่นอนเป็นเครื่องบ่งบอกแสดงถึงทางที่มั่นคงในสังคม แต่ทนายความที่ตลอดชีวิตประกอบอาชีพทนายความอย่างเดียวนั้นคงเป็นเศรษฐีไม่ ได้ ความเป็นทนาย ความนั้นความสุขและความร่ำรวยที่ได้คือน้ำใจที่ตนเองได้อุทิศงานและเวลาให้ แก่สังคม ทนายความจึงไม่สามารถจะดำรงในลักษณะที่คิดเงินทุกบาททุกสตางค์ได้ตลอดเวลา การมีความมัธยัสถ์ที่ดีของทนายความจึงเป็นเรื่องที่จำเป็นเพราะจะสร้างความ มั่นคงให้กับทนายความในระยะยาว โดย เฉพาะรายได้ของบทนายความนั้นส่วนใหญ่แล้วจะไม่แน่นอนหากทนายความไม่รู้จัก ประหยัดอดออม หรือในทางตรงกันข้ามเป็นนักเล่นหวยรวยไปก็เป็นที่เชื่อแน่ได้ว่าอนาคตใน วิชาชีพทนายความนั้นคงจะสั้นลงเป็นลำดับ เพราะไม่มีทนายความคนไหนที่จะยืนหยัดได้ในสภาพของสถานะการเงินที่ง่อนแง่น ทั้งนี้การมัธยัสถ์ก็คงไม่ใช่ที่จะประหยัดมากเกินไปเพราะไม่เกิดประโยชน์แก่ ทนายความเอง ในด้านของการพัฒนาและการเข้าสังคมทนายความจำเป็นต้องดำรงตนให้อยู่ในความพอ ดีท่ามกลางความผันผวน หรือความไม่แน่นอนของการหารายได้ จำเป็นต้องเป็นผู้วางแผนรายรับที่เหมาะสมให้ได้ตลอดทั้งปีของการทำงานต้อง เป็นผู้ที่รักความก้าวหน้าในการพัฒนาวิชาชีพ ขยายขอบเขตของการบริการวิชาชีพของตนให้กว้างขวางขึ้นเพื่อจะสร้างความมั่นคง ให้กับรายได้ที่โดยปกติจะเพิ่มพูนตามความสามารถของทนายความ



อ.เดชอุดม ไกรฤทธิ์

ควบคุมตัวเกิน 48 ชม.แล้วไม่ฝากขังต่อศาล ยังฟ้องได้อยู่

$
0
0
กฎหมายกำหนดให้พนักงาน สอบสวนสามารถควบคุมตัวผู้ต้องหาได้เพียง 48 ชั่วโมงนับแต่เวลาที่ผู้ต้องหาถูกจับมาที่สถานีตำรวจหรือที่ทำการอื่นของ พนักงานสอบสวนเท่านั้น เว้นเสียแต่มีเหตุสุดวิสัยหรือเหตุจำเป็นอย่างอื่นอันมิอาจก้าวล่วงเสียได้ พนักงานสอบสวนก็สามารถควบคุมตัวผู้ต้องหาได้นานกว่านั้น แต่ถ้าไม่มีเหตุดังกล่าวและคงวคุมตัวผู้ต้องหาเกิน 48 ชั่วโมงแล้ว ก็ต้องปล่อยตัวผู้ต้องหาไป
ขอบคุณภาพจาพชก ขังแปด

แต่ถ้าพนักงานสอบสวนเห็นว่าควรควบคุมตัว ผู้ต้องหาไว้ก่อนเพื่อการสอบสวนและไม่ควรให้ผู้ต้องหาได้รับการปล่อยตัวชั่ว คราวหรือประกันตัวออกไป พนักงานสอบสวนก็ต้องยื่นคำร้องต่อศาลขอหมายขังผู้ต้องหานั้นไว้หรือเรียกว่า การฝากขังนั่นเอง
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
มาตรา 87ห้ามมิให้ควบคุมผู้ถูกจับไว้เกินกว่าจำเป็นตามพฤติการณ์แห่งคดี
ในกรณีความผิดลหุโทษ จะควบคุมผู้ถูกจับไว้ได้เท่าเวลาที่จะถามคำให้การ และที่จะรู้ตัวว่าเป็นใครและที่อยู่ของเขาอยู่ที่ไหนเท่านั้น
ในกรณีที่ผู้ถูกจับไม่ได้รับการปล่อยชั่ว คราว และมีเหตุจำเป็นเพื่อทำการสอบสวน หรือการฟ้องคดี ให้นำตัวผู้ถูกจับไปศาลภายในสี่สิบแปดชั่วโมงนับแต่เวลาที่ผู้ถูกจับถูกนำ ตัวไปถึงที่ทำการของพนักงานสอบสวนตามมาตรา ๘๓ เว้นแต่มีเหตุสุดวิสัยหรือมีเหตุจำเป็นอย่างอื่นอันมิอาจก้าวล่วงเสียได้ โดยให้พนักงานสอบสวนหรือพนักงานอัยการยื่นคำร้องต่อศาลขอหมายขังผู้ต้องหา นั้นไว้ ให้ศาลสอบถามผู้ต้องหาว่าจะมีข้อคัดค้านประการใดหรือไม่ และศาลอาจเรียกพนักงานสอบสวนหรือพนักงานอัยการมาชี้แจงเหตุจำเป็น หรืออาจเรียกพยานหลักฐานมาเพื่อประกอบการพิจารณาก็ได้
ในกรณีความผิดอาญาที่ได้กระทำลงมีอัตราโทษ จำคุกอย่างสูงไม่เกินหกเดือน หรือปรับไม่เกินห้าร้อยบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ศาลมีอำนาจสั่งขังได้ครั้งเดียว มีกำหนดไม่เกินเจ็ดวัน
ในกรณีความผิดอาญาที่มีอัตราโทษจำคุกอย่าง สูงเกินกว่าหกเดือนแต่ไม่ถึงสิบปี หรือปรับเกินกว่าห้าร้อยบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ศาลมีอำนาจสั่งขังหลายครั้งติดๆ กันได้ แต่ครั้งหนึ่งต้องไม่เกินสิบสองวัน และรวมกันทั้งหมดต้องไม่เกินสี่สิบแปดวัน
ในกรณีความผิดอาญาที่มีอัตราโทษจำคุกอย่าง สูงตั้งแต่สิบปีขึ้นไป จะมีโทษปรับด้วยหรือไม่ก็ตาม ศาลมีอำนาจสั่งขังหลายครั้งติดๆ กันได้ แต่ครั้งหนึ่งต้องไม่เกินสิบสองวัน และรวมกันทั้งหมดต้องไม่เกินแปดสิบสี่วัน
ในกรณีตามวรรคหกเมื่อศาลสั่งขังครบสี่สิบ แปดวันแล้ว หากพนักงานอัยการหรือพนักงานสอบสวนยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อขอขังต่อไปอีกโดย อ้างเหตุจำเป็น ศาลจะสั่งขังต่อไปได้ก็ต่อเมื่อพนักงานอัยการหรือพนักงานสอบสวนได้แสดงถึง เหตุจำเป็น และนำพยานหลักฐานมาให้ศาลไต่สวนจนเป็นที่พอใจแก่ศาล
ในการไต่สวนตามวรรคสามและวรรคเจ็ด ผู้ต้องหามีสิทธิแต่งทนายความเพื่อแถลงข้อคัดค้านและซักถามพยาน ถ้าผู้ต้องหาไม่มีทนายความเนื่องจากยังไม่ได้มีการปฏิบัติตามมาตรา ๑๓๔/๑ และผู้ต้องหาร้องขอ ให้ศาลตั้งทนายความให้ โดยทนายความนั้นมีสิทธิได้รับเงินรางวัลและค่าใช้จ่ายตามที่กำหนดไว้ในมาตรา ๑๓๔/๑ วรรคสาม โดยอนุโลม
ถ้าพนักงานสอบสวนต้องไปทำการสอบสวนในท้อง ที่อื่นนอกเขตของศาลซึ่งได้สั่งขังผู้ต้องหาไว้ พนักงานสอบสวนจะยื่นคำร้องขอให้โอนการขังไปยังศาลในท้องที่ที่จะต้องไปทำการ สอบสวนนั้นก็ได้ เมื่อศาลที่สั่งขังไว้เห็นเป็นการสมควรก็ให้สั่งโอนไป

ดังนั้น หากพนักงานสอบสวนมิได้ดำเนินการฝากขังต่อศาลเมื่อพ้นกำหนดการควบคุมตัวผู้ ต้องหาแล้ว พนักงานสอบสวนก็ต้องปล่อยตัวผู้ต้องหาไป แต่การที่มิได้ดำเนินการฝากขังผู้ต้องหาต่อศาลดังกล่าว พนักงานอัยการยังมีอำนาจฟ้องผู้ต้องหารายนั้นเป็นคดีอาญาได้อยู่ เพราะไม่ได้ทำให้การสอบสวนของพนักงานสอบสวนเสียไปหรือไม่ชอบแต่อย่างใด
คำพิพากษาฎีกาที่ 4294/2550การควบคุมตัวจำเลยที่ 1 ในชั้นสอบสวน ซึ่งพนักงานสอบสวนจะต้องขออำนาจศาลฝากขังจำเลยที่ 1 หาก พนักงานสอบสวนมิได้ขอฝากขังต่อศาลภายในกำหนด เมื่อพ้นอำนาจการควบคุมตัวผู้ต้องหาของพนักงานสอบสวนแล้ว พนักงานสอบสวนต้องปล่อยตัวผู้ต้องหาไป หาใช่เป็นเหตุให้โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องไม่ เมื่อโจทก์ฟ้องคดีภายในอายุความ โจทก์ย่อมมีสิทธินำคดีอาญามาฟ้องได้

เตือนภัยสังคม

$
0
0
ด้วยขณะนี้มีมิจฉาชีพได้แอบอ้าวตนว่าเป็นเจ้าหน้าที่จากกระทรวงยุติธรรมเพื่อหลวกลวงประชาชนว่ามีหนี้ต้องชำระ ส่งผลให้ประชาชนทั้งหลายตกเป็นเหยื่อ จำนวนมาก หากท่านพบการกระทำดังกล่าว โปรดแจ้งศูนย์บริการร่วมกระทรวงยุติธรรม โทร 02-1415100 หี อ 02-1415482-88 จึงแจ้งมาเพื่อโปรดระมัดระวัง เพื่อเตือนภังคมต่อไป

ตำรวจบุกจับฝรั่งถ่ายหนังโป๊พัทยา

$
0
0
ตำรวจโทยโชว์จับ! แก๊งยุโรปถ่ายหนังโป๊ เช่าบ้านทรงไทยเป็นโลเกชั่นถ่ายหนัง ถ่ายทอดสดหนังโป๊ไปทั่วโลก สารภาพทำมา 2 ปี ไม่รู้ว่าผิดกฎหมายไทย

แก๊งยุโรปเช่าบ้านทรงไทย ถ่ายหนังโป๊ลงเว็บ
เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.หนองปรือ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี ได้นำกำลังเข้าจับกุม กลุ่มชาวต่างชาติที่เช่าบ้านซึ่งตั้งอยู่บนพื้นที่ 5 ไร่ เป็นบ้านทรงไทย 5 หลัง ภายในซอยพรประภานิมิต 27 ก่อนจะเข้าควบคุมตัว นายอีธาน มาร์เคิล คริสโตเฟอร์ แจนสจ๊วต อายุ 46 ปี สัญชาติเนเธอแลนด์ และ นายซาการ์ ลูกา อายุ 32 ปี สัญชาติสโลวีเนีย ขณะกำลังควบคุมการถ่ายทำหนังโป๊อนาจารอยู่ภายในบ้านทรงไทย ซึ่งมีการตกแต่งแบบไทย มีพระพุทธรูปตั้งเอาไว้หัวเตียง

เจ้าหน้าที่จึงได้ทำการตรวจยึดคอมพิวเตอร์ที่เชื่อมต่อกับเว็บไซต์อนาจาร ซึ่งกำลังมีการถ่ายหนังโป๊ออกอากาศสดผ่านทางเว็บไซต์อยู่ อีกทั้งพบยาไอซ์ 3 กรัม พร้อมอุปกรณ์การเสพ อุปกรณ์เซ็กส์ทอยอีกหลายรายการ และจับกุม นางสาวเมลานีน พีริช อายุ 27 สัญชาติออสเตรีย นางแบบโป๊เปลือยที่กำลังแต่งงานวาบหวิว ถ่ายทำคลิปวิดีโอออกอากาศสดอยู่

จากการสอบสวนเบื้องต้น นายอีธาน ให้การว่า ก่อนหน้านี้เมื่อ 2 ปีก่อน ได้มาเช่าบ้านทรงไทย 5 หลังดังกล่าวกับเพื่อน ค่าเช่าเดือนละ 1 แสนบาท เพื่อใช้เป็นสถานที่ถ่ายทำหนังโป๊อนาจาร โดยมีฉากหลังที่มีความเป็นไทย รวมทั้งมีการถ่ายคลิปโป๊ถ่ายทอดสดทั่วโลก ผ่านทางเว็บไซต์ที่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเป็นสมาชิก

นายอีธาน ยังบอกอีกว่า ตนเป็นผู้ถ่ายทำคลิปหนังโป๊ บางครั้งก็ร่วมแสดงกับนางแบบหนังด้วย ส่วน นายซาการ์ จะเป็นช่างเทคนิค ตัดต่อหนังและส่งข้อมูลเข้าระบบคอมพิวเตอร์ โดยไม่ทราบมาก่อนว่าการถ่ายทำหนังโป๊อนาจารเป็นสิ่งผิดกฎหมายของไทย ส่วนยาไอซ์ที่ตรวจพบมีเพื่อนชาวไทยนำมาให้เสพเท่านั้น

ภายหลังจากการจับกุม เจ้าหน้าที่ได้นำตัวไปดำเนินคดีตามกฎหมายและจะขยายผลไปยังเจ้าของเว็บไซต์อนาจารดังกล่าวต่อไป สำหรับเว็บไซต์ที่ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจไทยจับกุมตัว พบว่า ทางการไทยได้บล็อคช่องทางในการเข้าสู่เว็บไซต์ดังกล่าวเอาไว้ทั้งหมด
ที่มา: http://news.sanook.com

ย้อนประวัติข่าวหนังโป๊ที่มาถ่ายทำในเมืองไทยแล้วโดนจับได้

$
0
0

สรรพสามิตย้ำ ถือครองรถยนต์คันแรกไม่ครบ 1 ปี ต้องคืนเงินทุกกรณี

$
0
0
นายสมชาย พูลสวัสดิ์ อธิบดีกรมสรรพสามิต เปิดเผยถึงกรณีที่ประชาชน จ.อ่างทอง เข้าร่วมโครงการคืนภาษีรถยนต์คันแรก แล้วเกิดเสียชีวิต และมีหนังสือจากกรมสรรพสามิตไปทวงเงินที่ได้รับสิทธิ์จากโครงการรถยนต์คัน แรก 60,511 บาทคืน ว่า กรณีดังกล่าวนั้น ภรรยาผู้เสียชีวิตต้องนำเงินมาคืนให้กรมสรรพสามิต พื้นที่อ่างทอง เนื่องจากตรวจสอบแล้ว พบว่า ไม่ได้ครอบครองรถยนต์ครบ 1 ปี โดยได้รับรถยนต์เมื่อวันที่ 7 ต.ค.54 และเสียชีวิตเมื่อวันที่ 2 ก.ค.55 ซึ่งไม่เป็นไปตามมติครม.ระบุไว้
“หลักการของ มติครม. เรื่องการคืนเงินให้ผู้ที่ได้สิทธิ์ในโครงการรถคันแรกนั้น ต้องมีชีวิตอยู่ และถือครองรถยนต์ครบ 1 ปี ซึ่งหลังจากนี้หากเสียชีวิต ก็ไม่ต้องนำเงินมาคืนกรมสรรพสามิต แต่กรณีที่เกิดขึ้น ผู้ที่มีสิทธิ์เสียชีวิตก่อนครอบครองรถยนต์ครบ 1 ปี ดังนั้นญาติผู้เสียชีวิตต้องนำเงินมาคืนให้กรมสรรพสามิต ภายใน 15 วัน หลังจากที่ได้รับเงินไป หากไม่คืน ผู้ใช้สิทธิ์จะต้องชำระดอกเบี้ยปีละ 15% นับตั้งแต่วันครบกำหนดคืนเงินจนกว่าชำระคืนให้ครบถ้วน ตามที่ใบคำขอใช้สิทธิ์และเงื่อนไขสำหรับรถยนต์ใหม่คันแรก”

อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้น เกิดจากการผิดพลาดของระบบที่ยังไม่สมบูรณ์ ระหว่างกรมสรรพสามิตและกระทรวงมหาดไทย ทำให้ไม่สามารถตรวจพบว่าผู้ที่ใช้สิทธิ์ในโครงการรถคันแรกเสียชีวิตก่อนที่ จะครอบครองรถครบ 1 ปี ทางระบบจึงโอนเงินเข้าบัญชีตามปกติ ทั้งนี้ กรมสรรพสามิตได้รับมอบหมายนโยบายจากนายทนุศักดิ์ เล็กอุทัย รมช.คลัง ว่า การดำเนินงานในโครงการรถคันแรก จะต้องไม่ให้เกิดปัญหาหรือให้มีปัญหาน้อยที่สุด ซึ่งในกรณีที่เกิดขึ้น เบื้องต้นกรมสรรพสามิตจะหาแนวทางเยียวยา เพื่อให้ความช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบให้มากที่สุด

การชี้ขาดเบื้องต้นในข้อกฎหมาย (มาตรา 24)

$
0
0
การขอให้ศาลวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นในปัญหาข้อกฎหมายเป็น การกำหนดวิธีการที่จะทำให้คดีเสร็จสำนวนไปจากศาลได้โดยเร็ว ซึ่งถ้าศาลวินิจฉัยให้แล้วเป็นคุณแก่คู่ความฝ่ายที่ขอ จะไม่ต้องมีการพิจารณาคดีนั้นต่อไป ซึ่งการขอนี้จะทำได้เฉพาะในศาลชั้นต้นเท่านั้น


มาตรา 24เมื่อคู่ความฝ่ายใดยกปัญหาข้อกฎหมายขึ้นอ้าง ซึ่งถ้าหากได้วินิจฉัยให้เป็นคุณแก่ฝ่ายนั้นแล้ว จะไม่ต้องมีการพิจารณาคดีต่อไปอีก หรือไม่ต้องพิจารณาประเด็นสำคัญแห่งคดีบางข้อ หรือถึงแม้จะดำเนินการพิจารณาประเด็นข้อสำคัญแห่งคดีไปก็ไม่ทำให้ได้ความชัดขึ้นอีกแล้ว เมื่อศาลเห็นสมควรหรือเมื่อคู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมีคำขอ ให้ศาลมีอำนาจที่จะมีคำสั่งให้มีผลว่าก่อนดำเนินการพิจารณาต่อไป ศาลจะได้พิจารณาปัญหาข้อกฎหมายเช่นว่านี้แล้ววินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นในปัญหานั้น

ถ้าศาลเห็นว่าคำวินิจฉัยชี้ขาดเช่นว่านี้ จะทำให้คดีเสร็จไปได้ทั้งเรื่องหรือเฉพาะแต่ประเด็นแห่งคดีบางข้อ ศาล จะวินิจฉัยชี้ขาดปัญหาที่กล่าวแล้วและพิพากษาคดีเรื่องนั้นหรือเฉพาะแต่ ประเด็นที่เกี่ยวข้องไปโดยคำพิพากษาหรือคำสั่งฉบับเดียวกันก็ได้
คำสั่งใด ๆ ของศาลที่ได้ออกตามมาตรานี้ ให้อุทธรณ์และฎีกาได้ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 227,228 และ 247
 
คำสั่งชี้ขาดเบื้องต้นในปัญหาข้อกฎหมาย ไม่ใช่คำสั่งระหว่างพิจารณา (มาตรา  227,228)  คู่ความอุทธรณ์ฎีกาได้โดยไม่ต้องโต้แย้งไว้  (ฎ.  3425/32) 
การชี้ขาดเบื้องต้นตามมาตรา  24  ต้องเป็นการวินิจฉัยชี้ขาดในปัญหาข้อกฎหมาย ถ้าปัญหาที่ศาลวินิจฉัยชี้ขาดเป็นปัญหาข้อเท็จจริง ก็ไม่ใช่การชี้ขาดตามมาตรานี้  และเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาตามมาตรา  226 (ฎ.3520/24, 1282/35)
ข้อสังเกต   ในทางปฎิบัติ ก่อนศาลจะมีคำสั่งวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้น ศาลจะมีคำสั่งให้งดสืบพยานก่อน แล้วจึงมีคำพิพากษา ปัญหาจึงอยู่ที่ว่าคำสั่งงดสืบพยานเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาหรือไม่  การวินิจฉัยชี้ขาดตามมาตรา  24  เป็นการวินิจฉัยชี้ขาดข้อกฎหมาย และถือว่าคำสั่งงดสืบพยานไม่เป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา ตามมาตรา  227,228   อุทธรณ์ได้ทันที   หรืออุทธรณ์ได้ภายหลังมีคำพิพากษาโดยไม่ต้องโต้แย้งไว้ก่อน  แต่ถ้าศาลวินิจฉัยโดยอาศัยข้อเท็จจริง ก็ไม่ต้องด้วยมาตรา 24  ไม่เข้าข้อยกเว้นว่าไม่เป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา ตามมาตรา  227,228  แต่เป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาตามมาตรา  226  
บางกรณีมีความยุ่งยากพอสมควรที่จะแบ่งแยกว่า กรณีใดเป็นการชี้ขาดข้อกฎหมายตามมาตรา  24  หรือวินิจฉัยโดยอาศัยข้อเท็จจริง  แต่ก็พอจะแบ่งแยกได้ว่า  ถ้าศาลเพียงแต่พิเคราะห์จากคำฟ้องและคำให้การแล้วมีคำสั่งงดสืบพยานโจทก์จำเลยและวินิจฉัยข้อกฎหมาย  ดังนี้เป็นการวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นในข้อกฎหมายมาตรา  24 (ฎ.  3833/28,956/36,6902/43)
แต่ถ้ามีการสอบข้อเท็จจริงจากคู่ความ หรือเมื่อมีการสืบพยานไปบ้างแล้ว จึงสั่งให้งดสืบพยาน ต่อมามีคำพิพากษาโดยอาศัยข้อเท็จจริงที่ได้จากการสอบคู่ความหรือจากพยานที่ได้สืบไปแล้ว  มิใช่การวินิจฉัยชี้ขาดตามมาตรา  24  จึงเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา (ฎ. 2308/20, 2158/37)
ตามมาตรา  24  บัญญัติว่า ต้องเป็นกรณีหากวินิจฉัยให้เป็นคุณแก่ฝ่ายที่ขอให้วินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมาย  จึงเป็นหลักสำคัญประการหนึ่งของการวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นในปัญหาข้อกฎหมายว่าศาลต้องสั่งเป็นไปในทางเป็นคุณแก่ผู้ขอ เช่น ฟังว่าคดีขาดอายุความ หรือฟ้องโจทก์เคลือบคลุม พิพากษาให้ยกฟ้อง 
ถ้าคำชี้ขาดเบื้องต้นนั้นไม่เป็นคุณแก่ผู้ขอ  ก็ไม่เป็นการวินิจฉัยชี้ขาดตามมาตรา  24 แต่เป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา (ฎ.  3933/48, 226/04)
ถ้าหากศาลชั้นต้นวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นแล้ว (เป็นคุณแก่ผู้ขอ)แต่ต่อมาศาลอุทธรณ์ยก คำสั่งชี้ขาดเบื้องต้นของศาลชั้นต้น (ไม่เป็นคุณ)  ดังนี้ คู่ความฎีกาได้  (ฎ. 268/91 ป.)  ที่เป็นเช่นนี้เพราะเมื่อศาลอุทธรณ์มีคำสั่งเช่นนั้นแล้ว คดีก็ย่อมกลับมาสู่การพิจารณาของศาลชั้นต้นอีก  และเสร็จจากศาลอุทธรณ์  จึงไม่เป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์ 
นอกจากนี้กรณีที่ศาลยังไม่ได้สั่งในเนื้อหาคำขอ  แต่สั่งให้รวมวินิจฉัยคำร้องในคำพิพากษา (ฎ.  462/08)   หรือคำสั่งไม่รับวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้น  (ฎ. 1032/94) ซึ่งไม่เป็นคุณแก่ผู้ขอ ก็เป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา  เช่นกัน 
เมื่อมีคำขอให้ศาลวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นในปัญหาข้อกฎหมาย  เป็นดุลพินิจของศาลที่จะวินิจฉัยชี้ขาดในระหว่างนั้น หรือจะรอไว้วินิจฉัยพร้อมคำพิพากษาก็ได้ (ฎ.  1254/17)  
การขอให้วินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นในปัญหาข้อกฎหมายตามมาตรา  24 นี้ ขอได้เฉพาะคดีที่อยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลชั้นต้น จะมาขอในชั้นอุทธรณ์ หรือฎีกาไม่ได้ (คร. 1346/28,ฎ.  945/36)
การขอให้ศาลชี้ขาดเบื้องต้นในปัญหาข้อกฎหมาย หากศาลไม่วินิจฉัยให้ ย่อมมีสิทธิยื่นคำขอนั้นได้อีก ไม่เป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำ (ฎ.  3574/36) 
การวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นในปัญหาข้อกฎหมายตามมาตรา  24 นี้ ศาลอาจเห็นสมควรชี้ขาดเบื้องต้นเองหรือคู่ความมีคำขอให้ชี้ขาด ดังนั้นในกรณีที่คู่ความขอให้ศาลชี้ขาดโดยอ้างเหตุหนึ่ง ศาลก็อาจชี้ขาดโดยอ้างอีกเหตุหนึ่งได้ (ฎ.1102/06)
  
คำพิพากษาที่น่าสนใจ
คำพิพากษาที่1254/17การที่ศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพยานโจทก์จำเลยแล้วพิพากษายกฟ้องโดยข้อกฎหมาย มิได้วินิจฉัยพยานหลักฐานโดยอาศัยข้อเท็จจริง เป็นการวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นในข้อกฎหมายอันจะทำให้คดีเสร็จไปทั้งเรื่อง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 24 จึงไม่เป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา แม้โจทก์จะไม่ได้โต้แย้งคำสั่งศาลชั้นต้นที่สั่งให้งดสืบพยานโจทก์จำเลยไว้ โจทก์ก็มีสิทธิอุทธรณ์ได้

คำพิพากษาที่  79/22จำเลยให้การว่าโจทก์รับโอนเช็คโดยสุจริต ไม่บรรยายว่าไม่สุจริตอย่างไร ไม่เป็นข้อต่อสู้ที่ควรต้องสืบพยานตาม ป.พ.พ. ม.916 ศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพยานเป็นการชี้ขาดเบื้องต้นตาม ม.24 โดยวินิจฉัยข้อ

กฎหมายไม่ได้วินิจฉัยโดยอาศัยข้อเท็จจริงในคดี ไม่ใช่คำสั่งระหว่างพิจารณา คู่ความอุทธรณ์ได้โดยไม่ต้องโต้แย้งไว้ก่อน


คำพิพากษาที่782/2536การ ที่ศาลชั้นต้นเห็นว่าคดีนี้เป็นคดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาจึงมีคำ สั่งให้งดสืบพยานแล้วฟังข้อเท็จจริงตามคำพิพากษาคดีส่วนอาญา และพิพากษายกฟ้องนั้น เป็นการวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นในปัญหาข้อกฎหมายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 24 ไม่เป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาตามมาตรา 227 โจทก์มีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ให้งดสืบพยานโดยไม่ต้องโต้แย้งไว้ตามมาตรา 226


คำพิพากษาที่2158/2537 การ ที่ศาลชั้นต้นสอบถามข้อเท็จจริงจากคู่ความแล้วสั่งงดสืบพยานในวันนัดสืบพยาน โจทก์และพิพากษาคดีโดยอาศัยข้อเท็จจริงที่ได้ความ ถือไม่ได้ว่าเป็นการวินิจฉัยชี้ขาดข้อกฎหมายเบื้องต้นตาม ป.วิ.พ. มาตรา 24 แต่เป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา เมื่อโจทก์เห็นว่าชอบที่จะมีการสืบพยานต่อไปก็ต้องโดยแย้งคำสั่งไว้มิฉะนั้นต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตาม ป.วิ.พ.มาตรา 226 (2)


คำพิพากษาที่2012/2542ก่อนศาลชั้นต้นมีคำสั่งงดชี้สองสถานและงดสืบพยานโจทก์จำเลย ศาลได้สอบถาม
ข้อ เท็จจริงจากโจทก์จำเลยแล้วเห็นว่าคดีพอวินิจฉัยได้แล้วและนัดฟังคำพิพากษา เป็นกรณีที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งก่อนศาลนั้นได้มีคำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาด ตัดสินคดี จึงเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาตาม ป.วิ.พ. มาตรา 226 (2) และมิใช่คำสั่งวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นในปัญหาข้อกฎหมายตามมาตรา 24

คำพิพากษาที่ 268/2491 ประชุมใหญ่
หากศาลชั้นต้นมีคำสั่ชี้ขาดข้อกฎหมายเบื้องต้น ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 24 แล้ว ศาลอุทธรณ์เห็นว่าไม่ควรชี้ขาดเบื้องต้นจึงให้ยกคำสั่งศาลชั้นต้นและให้ ดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไป คู่ความฎีกาได้ ไม่เป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา
ตัวอย่างคำร้อง
           ข้อ 1.คดีนี้ ศาลนัดสืบพยานโจทก์ในวันนี้ เวลา ........น. ดังความแจ้งอยู่ในสำนวนแล้วนั้น
          ในวันนัดชี้สองสถานศาลได้กำหนดประเด็นเกี่ยวกับอำนาจฟ้องโจทก์ อันเป็นปัญหาข้อกฎหมายว่า คดีโจทก์ขาดอายุความหรือไม่ จำเลยขอประทานกราบเป็นปัญหาข้อกฎหมายว่า คดีโจทก์ขาดอายุความหรือไม่ จำเลยขอประทานกราบเรียนต่อศาลว่า จำเลยได้ให้การปฏิเสธไว้ตามคำให้การว่า ฟ้องของโจทก์ขาดอายุความ กล่าวคือ โจทก์ได้บรรยายตามฟ้องว่าจำเลยได้ลงลายมือชื่อสั่งจ่ายเช็คเอกสารท้ายฟ้อง หมายเลข 1 ลงวันที่..................และธนาคารตามเช็คได้ปฏิเสธการจ่ายเงินเมื่อวันที่ ....................... แต่โจทก์ได้นำเช็คฉบับดังกล่าวมาฟ้องจำเลยมาเป็นคดีนี้เมื่อวันที่........................ฉะนั้นโจทก์จึงเป็นฟ้องที่ขาดอายุความแล้ว

             จาก คำฟ้องและคำให้การของจำเลยดังได้ประทานกราบเรียนต่อศาลแล้วข้างต้น หากศาลได้ทำการวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นในปัญหาข้อกฎหมายก่อนการพิจารณาใน ประเด็นข้อที่ว่า คดีโจทก์ขาดอายุความหรือไม่ แล้วจะเป็นคุณแก่ฝ่ายจำเลย อีกทั้งจะทำให้คดีเสร็จไปทั้งเรื่องและไม่จำเป็นต้องพิจารณาคดีอีกต่อไป หรือไม่ต้องพิจารณาประเด็นสำคัญแห่งคดีข้ออื่นๆ หรือถึงแม้จะดำเนินการพิจารณาประเด็นข้อสำคัญเป็นคดีไป ก็ไม่ทำให้คำวินิจฉัยชี้ขาดของศาลเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่นได้

            ฉะนั้น จึงขอศาลได้โปรดทำการวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นในปัญหาข้อกฎหมายดังกล่าวว่า คดีโจทก์ขาดอายุความแล้ว และได้โปรดมีคำสั่งหรือคำพิพากษาให้ยกฟ้องโจทก์ และให้โจทก์ชดใช้ค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความแทนจำเลยด้วย

            ขอศาลได้โปรดอนุญาต
 

การเพิกถอนกระบวนพิจารณาผิดระเบียบ ( มาตรา 27)

$
0
0
การเพิกถอนกระบวนพิจารณาผิดระเบียบ (  มาตรา  27) ประมวลกฎหมายวิธิพิจารณาความแพ่ง 
มาตรา 27ใน กรณีที่มิได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายนี้ในข้อที่มุ่งหมายจะยัง ให้การเป็นไปด้วยความยุติธรรม หรือที่เกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนในเรื่องการเขียนและการยื่น หรือการส่งคำคู่ความหรือเอกสารอื่น ๆ หรือในการพิจารณาคดี การพิจารณาพยานหลักฐาน หรือการบังคับคดี เมื่อศาลเห็นสมควรหรือเมื่อคู่ความฝ่ายที่เสียหายเนื่องจากการที่มิได้ปฏิบัติเช่นว่านั้นยื่นคำขอโดยทำเป็นคำร้อง ให้ศาลมีอำนาจที่จะสั่งให้เพิกถอนการพิจารณาที่ผิดระเบียบนั้นเสียทั้งหมดหรือบางส่วน หรือ


สั่งแก้ไขหรือมีคำสั่งในเรื่องนั้นอย่างใดอย่างหนึ่งตามที่ศาลเห็นสมควร


ข้อค้านเรื่องผิดระเบียบนั้น คู่ความฝ่ายที่เสียหายอาจยกขึ้นกล่าวได้ไม่ว่าในเวลาใดๆก่อนมีคำพิพากษา แต่ต้องไม่ช้ากว่าแปดวันนับแต่วันที่คู่ความฝ่ายนั้นได้ทราบข้อความหรือ พฤติการณ์อันเป็นมูลแห่งข้ออ้างนั้น แต่ทั้งนี้คู่ความฝ่ายนั้นต้องมิได้ดำเนินการอันใดขึ้นใหม่ หลังจากที่ได้ทราบเรื่องผิดระเบียบแล้วหรือต้องมิได้ให้สัตยาบันแก่การผิดระเบียบนั้น ๆ
ถ้าศาลสั่งให้เพิกถอนกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบใดๆ อัน มิใช่เรื่องที่คู่ความละเลยไม่ดำเนินการพิจารณาเรื่องนั้นภายในระยะเวลาซึ่ง กฎหมายหรือศาลกำหนดไว้เพียงเท่านี้ไม่เป็นการตัดสิทธิคู่ความฝ่ายนั้น ในอันที่จะดำเนินกระบวนพิจารณานั้น ๆ ใหม่ให้ถูกต้องตามที่กฎหมายบังคับ


  การเพิกถอนกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบ   แบ่งออกเป็น 2 กรณี
      1.1.ศาลเพิกถอนเอง   เมื่อศาลเห็นว่ามีกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบเกิดขึ้นในการพิจารณาคดีของ ศาล  โดยหากผิดระเบียบในศาลใด  ศาลนั้นเป็นผู้ออกคำสั่งเพิกถอน
      1.2.คู่ความฝ่ายที่เสียหายจากการดำเนินกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบยื่นคำร้องขอเพิกถอนกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบ

   2.กระบวนพิจารณาคดีที่ผิดระเบียบ  เป็นกรณีมิได้ดำเนินกระบวนพิจารณาตามที่กฎหมายกำหนดในเรื่องดังนี้-
      2.1.การยื่นหรือสั่งคำคู่ความ หรือเอกสารอื่นๆ
      2.2.การพิจารณาคดี
      2.3.การพิจารณาพยานหลักฐาน
      2.4.การบังคับคดี


คำอธิบายโดยสรุป(จากฎีกา)
กำหนดเวลาเพิกถอนกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบตามมาตรา  27 วรรคสอง ที่จะต้องยื่นก่อนศาลมีคำพิพากษานั้นใช้เฉพาะกรณีที่คู่ความฝ่ายที่เสียหายทราบข้อผิดระเบียบก่อนศาลมีคำพิพากษาแล้วเท่านั้น  
กรณีทราบข้อผิดระเบียบภายหลังศาลพิพากษาแล้ว ก็มีสิทธิร้องขอให้เพิกถอนกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบหลังศาลมีคำพิพากษาได้ แต่ทั้งนี้ต้องไม่ช้ากว่าแปดวันนับแต่วันที่คู่ความฝ่ายนั้นทราบข้อความหรือพฤติการณ์อันเป็นมูลแห่งข้ออ้างนั้น (ฎ. 5876/45,  7991/44,  3476/38)  
 ฎ. 5186/48  กรณีมาตรา  27 วรรคสอง ที่กำหนดให้คู่ความฝ่ายที่เสียหายยกข้อคัดค้านเรื่องผิดระเบียบขึ้นกล่าวได้ไม่ว่าเวลาใดๆก่อนมีคำพิพากษา แต่ต้องไม่ช้ากว่าแปดวันนับแต่วันที่ได้รับทราบข้อความ... ซึ่งระยะเวลาดังกล่าว ใช้บังคับแก่การยื่นคำร้องขอเพิกถอนกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบทุกกรณี ไม่ว่าจะอยู่ในระหว่างพิจารณา หรือหลังจากศาลพิพากษา    หาใช่ใช้บังคับเฉพาะกรณีก่อนศาลมีคำพิพากษาเท่านั้น 
 
ข้อสังเกตมาตรา 27 วรรคสอง เป็นข้อจำกัดอำนาจของคู่ความที่ต้องขอเพิกถอนข้อผิดระเบียบภายในเวลาที่กำหนดเท่านั้น แต่กรณีที่ศาลเห็นสมควรให้เพิกถอนข้อผิดระเบียบนั้นเสียเอง ไม่มีกำหนดเวลาจำกัดไว้   ดังนั้นศาลจึงมีอำนาเพิกถอนเมื่อใดก็ได้  แม้ศาลชั้นต้นจะมีคำพิพากษาแล้ว ศาลอุทธรณ์หรือศาลฎีกา เห็นสมควรก็มีอำนาเพิกถอนได้ (ฎ.615/24) 

กรณีการร้องขอให้เพิกถอนต้องประกอบไปด้วย   1.  เมื่อศาลเห็นสมควร และ 2.  คู่ความฝ่ายที่เสียหายร้องขอ  

ฎ. 5188/48การที่ศาลชั้นต้นไม่แจ้งวันนัดฟังประเด็นกลับให้จำเลยที่  2 ทราบ เป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบ แต่เมื่อได้ความว่าไม่มีการสืบพยานประเด็นโจทก์ การที่จำเลยที่  2 ฟังประเด็นกลับหรือไม่ ไม่เป็นผลเสียแก่จำเลยที่ 2  เพราะหลังจากนั้นศาลชั้นต้นได้แจ้งวันนัดสืบพยานจำเลยที่ 2  ทราบอีก  จำเลยที่  2 จึงไม่ใช่คู่ความที่เสียหายอันจะยกการพิจารณาที่ผิดระเบียบขึ้นว่ากล่าวได้ตาม มาตรา  27 วรรคสอง  

หลักกฎหมายตามแนวคำพิพากษาฎีกา
-ผู้ที่ไม่ได้เป็นทนายความหรือทนายความที่ขาดต่อใบอนุญาต ผู้นั้นย่อมไม่มีอำนาจดำเนินกระบวนพิจารณา  กรณีเช่นนี้ ถือว่าเป็นกรณีที่มิได้ปฎิบัติตาม ป.วิ.พ. ในข้อที่ยังให้การเป็นไปด้วยความยุติธรรมตามมาตรา  27 ซึ่งเป็นกรณีที่ศาลไม่อาจสั่งให้แก้ไขได้ ต้องดำเนินกระบวนพิจารณาใหม่ (ฎ. 1049/38, 2904/37)

- เมื่อมีการเพิกถอนกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบแล้ว กระบวนพิจารณาต้องเริ่มต้นใหม่ จึงต้องให้จำเลยยื่นใบแต่งทนายความและคำให้การใหม่ แล้วดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไป  จะถือว่าคำให้การจำเลยที่ยื่นไว้แต่เดิมไม่ชอบ และถือว่าจำเลยขาดนัดขาดนัดยื่นคำให้การไม่ได้

ข้อสังเกต การดำเนินกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบตามมาตรา  27  นี้ มีอยู่หลายกรณีด้วยกัน  บางกรณีไม่ใช่เรื่องร้ายแรงนัก ศาลก็อาจสั่งให้แก้ไขข้อบกพร่องได้  บางกรณีเป็นเรื่องสำคัญ เช่นกรณีผู้ที่ไม่ได้เป็นทนายความ หรือขาดต่อใบอนุญาตทนายความเข้ามาดำเนินคดีในฐานะทนายความ ถือว่าไม่ชอบด้วยกฎหมายและเป็นกรณีไม่ได้ปฎิบัติตามบทบัญญัติแห่ง ป.วิ.พ. ในข้อที่มุ่งหมายจะยังให้การเป็นไปด้วยความยุติธรรม (ฎ. 2908-9/37)  ไม่อาจแก้ไขข้อบกพร่องได้ จึงต้องเพิกถอนการะบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบนั้น   ดังนั้นแม้ภายหลังจะได้รับอนุญาตให้เป็นทนายความ ก็ไม่ทำให้กระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบนั้นกลับเป็นถูกกฎหมายขึ้นมาได้  ต้องเพิกถอนกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบนั้นแล้วดำเนินกระบวนพิจารณาใหม่ 

การเพิกถอนข้อผิดระเบียบตามมาตรา  27 ต้องเป็นการเพิกถอนการพิจารณาคดีที่ผิดระเบียบ ไม่ใช่การเพิกถอนคำพิพากษา  (ฎ. 2450/25)   หากคู่ความเห็นว่าคำพิพากษาไม่ถูกต้องอย่างไรก็ต้องอุทธรณ์ ฎีกา เพื่อให้ศาลอุทธรณ์หรือศาลฎีกาพิพากษาเปลี่ยนแปลงแก้ไข จะใช้วิธีการขอให้เพิกถอนกระวนพิจารณาตามมาตรา  27 ไม่ได้ 

บางกรณีผลที่เกิดจาการเพิกถอนกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบจะทำให้คำพิพากษาตกไปในตัวก็ตาม กรณีเช่นนี้ไม่ใช่การเพิกถอนคำพิพากษา แต่เป็นผลที่เกิดขึ้นจากคำสั่งเพิกถอนกระบวนพิจารณาก่อนมีคำพิพากษานั่นเอง

คำสั่งจำหน่ายคดีไม่ใช่เป็นการวินิจฉัยคดี หรือประเด็นข้อใดแห่งคดี  จึงร้องขอเพิกถอนได้ (ฎ. 1692/16)   และแม้ศาลยกคำร้องไปครั้งหนึ่งแล้วก็ตาม ก็มีสิทธิยื่นคำร้องใหม่ได้ ไม่เป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำ (ฎ. 2662/25)
โจทก์อ้างว่าจำเลยนำบุคคลอื่นมาแสดงตัวเป็นโจทก์ แล้วสมคบกันทำสัญญาประนีประนอมยอมความโดยโจทก์ไม่รู้เห็นยินยอม จนศาลหลงเชื่อจึงได้พิพากษาตามยอมไป  เป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบ โจทก์ชอบที่จะขอเพิกถอนได้ตามมาตรา  27  โดยต้องขอเพิกถอนในคดีเดิม จะฟ้องขอให้เพิกถอนเป็นคดีใหม่ไม่ได้ (ฎ. 5394-5/45)

สำหรับคำร้องขอเพิกถอนกระบวนพิจารณา ซึ่งอ้างว่าผิดระเบียบในชั้นอุทธรณ์หรือชั้นฎีกา เป็นอำนาจของศาลอุทธรณ์หรือศาลฎีกา สั่งคำร้องดังกล่าว ศาลชั้นต้นไม่มีอำนาจสั่ง (คร. 5346/47) 

คู่ความตกลงให้นำคำเบิกความพยานในคดีอื่นมาเป็นพยานในคดีได้ ไม่ผิดกฎหมายหรือขัดต่อความสงบฯ  มิใช่เป็นกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบ จึงขอเพิกถอนไม่ได้ (ฎ.  5779/48)

การที่คู่ความจดจำวันนัดผิดพลาดไปเอง ไม่ใช่กรณีที่ศาลดำเนินกระบวนพิจารณาโดยผิดระเบียบแต่อย่างใด (ฎ. 1271/30, 3233/27)

การที่ศาลอนุญาตให้เลื่อนคดีเพราะเชื่อว่าทนายจำเลยป่วย เป็นกระบวนพิจารณาโดยชอบ  มิได้เป็นกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบตามมาตรา  27  ดังนั้น แม้ความปรากฎต่อมาว่าใบรับรองแพทย์ที่จำเลยส่งต่อศาลไม่ตรงต่อความเป็นจริง  ศาลก็เพิกถอนคำสั่งดังกล่าวภายหลังไม่ได้ (ฎ. 1401-2/32)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่น่าสนใจ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2596/2540
การร้องขอให้เพิกถอนกระบวนพิจารณา ที่ผิดระเบียบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา27วรรคหนึ่งเป็นอำนาจ ของศาลที่จะทำการไต่สวนได้ตามที่เห็นสมควรตามมาตรา21(4)แต่ถ้าข้อเท็จจริง จากพยานหลักฐานในสำนวนปรากฏต่อศาลโดยชัดแจ้งว่ามิได้มีการพิจารณาที่ผิด ระเบียบศาลย่อมมีอำนาจสั่งยกคำร้องได้โดยไม่จำเป็นต้องไต่สวนการที่ศาลชั้น ต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้องของผู้ร้องเพราะเหตุผู้ร้องไม่ไปศาลตามนัดโดยถือว่า ผู้ร้องไม่ติดใจสืบพยานตามที่ศาลได้กำชับไว้แล้วเป็นการปฏิบัติตามบทบัญญัติ แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งว่าด้วยวิธีพิจารณาในศาลชั้นต้นมิได้มี การพิจารณาที่ผิดระเบียบโดยหลงผิดแต่อย่างใด

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9106/2538
โจทก์ ยื่นคำร้องอ้างว่า โจทก์มาศาลแล้วแต่เข้าห้องพิจารณาผิด แม้คำขอจะให้ยกคดีขึ้นพิจารณาใหม่แต่ตามคำร้องก็เป็นเรื่องที่โจทก์ตั้งรูป คดีอ้างว่า ศาลสั่งจำหน่ายคดีไปโดยผิดหลง เป็นการร้องขอให้เพิกถอนกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบตามประมวลกฎหมายวิธี พิจารณาความแพ่ง มาตรา 27ซึ่งโจทก์มีสิทธิยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนได้ โจทก์และทนายโจทก์มาศาลในเวลาก่อนที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งจำหน่ายคดี แต่เนื่องจากโจทก์และทนายโจทก์เข้าห้องพิจารณาผิด ดังนี้ ถือได้ว่าโจทก์มาศาลในวันสืบพยานแล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7314/2538
ศาล จังหวัดราชบุรีมีคำสั่งรับคำฟ้องของโจทก์ไว้คดีจึงอยู่ในระหว่างพิจารณา เมื่อต่อมาศาลจังหวัดราชบุรีเห็นวาคดีไม่อยู่ในอำนาจได้สั่งให้เพิกถอน กระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบเกี่ยวกับคำฟ้องใหม่ว่าไม่รับคำฟ้องกรณีเช่นนี้ ถือได้ว่ามีการพิจารณาคดีแล้ว หาใช่เป็นการตรวจคำฟ้องแล้วมีคำสั่งไม่รับคำฟ้องไว้พิจารณาไม่และคำสั่งดัง กล่าวมีความหมายเป็นอย่างเดียวกันกับคำว่าศาลยกคดีเสียเพราะเหตุคดีไม่อยู่ ในอำนาจศาลตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 176 เดิม นั่นเองฉะนั้น เมื่อกำหนดอายุความในคดีของโจทก์สิ้นไปแล้วก่อนที่ศาลจังหวัดราชบุรีจะสั่ง เพิกถอนคำสั่งรับคำฟ้องเป็นคำสั่งไม่รับคำฟ้องเพราะเหตุคดีไม่อยู่ในอำนาจ ศาลอายุความฟ้องคดีของโจทก์จึงขยายออกไปถึงหกเดือนนับแต่ศาลจังหวัดราชบุรี มีคำสั่ง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6916/2538
จำเลยที่2ยื่นคำ ร้องขอขยายระยะเวลายื่นคำให้การโดยขอขยายระยะเวลายื่นคำให้การให้แก่จำเลย ที่3ถึงที่11ด้วยแต่คำร้องดังกล่าวระบุชัดว่าเป็นคำร้องขอขยายระยะเวลายื่น คำให้การของจำเลยที่2แต่เพียงผู้เดียวมิใช่เป็นกรณีที่จำเลยที่3ถึงที่11 ยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลายื่นคำให้การโดยมิได้แต่งทนายความให้ถูกต้องอันจะ ต้องพิจารณาบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา18และมิใช่ กรณีที่จำเลยที่3ถึงที่11จะพึงให้สัตยาบันในภายหลังได้การที่ศาลชั้นต้นมีคำ สั่งอนุญาตตามคำร้องของจำเลยที่2ให้ขยายระยะเวลายื่นคำให้การให้แก่จำเลย ที่3ถึงที่11ด้วยและมีคำสั่งรับคำให้การของจำเลยที่3ถึงที่1เป็นคำสั่งที่ ไม่ถูกต้องทั้งตามพฤติการณ์ยังไม่อาจถือได้ว่าศาลชั้นต้นได้ใช้ดุลพินิจอัน เป็นอำนาจของศาลเองอนุญาตให้ขยายระยะเวลายื่นคำให้การตามประมวลกฎหมายวิธี พิจารณาความแพ่งมาตรา23จึงเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบการที่ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งเพิกถอนคำสั่งรับคำให้การและสั่งไม่รับคำให้การของจำเลย ที่3ถึงที่11เนื่องจากมิได้ยื่นคำให้การภายในกำหนด15วันตามกฎหมายจึงเท่ากับ กับศาลชั้นต้นมีคำสั่งเพิกถอนกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบดังกล่าวทั้งหมด ซึ่งในกรณีนี้โจทก์มิได้ยื่นคำร้องขอให้ศาลเพิกถอนกระบวนพิจารณาที่ผิด ระเบียบและการที่โจทก์ยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นสั่งว่าจำเลยที่3ถึง ที่11ขาดนัดยื่นคำให้การก็มิใช่ข้อค้านเรื่องผิดระเบียบอันจะต้องยกขึ้น กล่าวไม่ช้ากว่า8วันตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา27วรรคสองแต่ เป็นกรณีที่ศาลชั้นต้นสั่งเพิกถอนกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบโดยอาศัยอำนาจ ของศาลเองตามมาตรา27วรรคแรกซึ่งไม่อยู่ในบังคับของระยะเวลา8วันตามมาตรา 27วรรคสอง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3476/2538
บทบัญญัติแห่ง ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา27วรรคสองบัญญัติขึ้นใช้กับกรณีที่คู่ ความฝ่ายที่เสียหายได้ทราบข้อความหรือพฤติการณ์อันเป็นมูลแห่งข้ออ้างของการ ผิดระเบียบนั้นก่อนศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาเท่านั้นจะนำมาใช้กับกรณีที่คู่ ความฝ่ายที่เสียหายเพิ่งทราบข้อความหรือพฤติการณ์อันเป็นมูลแห่งข้ออ้างของ การผิดระเบียบนั้นภายหลังจากศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาแล้วหาได้ไม่เพราะเป็นการ ขัดต่อเหตุผลและความเป็นจริงที่จะบังคับให้ยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนกระบวน พิจารณาเสียก่อนที่ศาลชั้นต้นจะมีคำพิพากษาโดยที่ตนยังไม่ทราบข้อความหรือ พฤติการณ์อันเป็นมูลแห่งข้ออ้างนั้นได้ฉะนั้นกรณีเพิ่งทราบภายหลังศาลชั้น ต้นมีคำพิพากษาดังกล่าวคู่ความที่เสียหายจึงชอบจะยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนการ พิจารณาที่ผิดระเบียบได้ตามมาตรา27วรรคแรก

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2898/2538
เมื่อ เจ้าพนักงานศาลส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้จำเลยทั้งสองมิได้เพราะบ้านของ จำเลยทั้งสองตามภูมิลำเนาที่โจทก์ฟ้องได้ถูกรื้อถอนไปแล้วโจทก์ได้ยื่นคำ แถลงขอให้ส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องแก่จำเลยทั้งสองโดยประกาศทางหนังสือ พิมพ์ศาลชั้นต้นมีคำสั่งในวันเดียวกันว่า"อนุญาต"ซึ่งเท่ากับอนุญาตให้ส่ง หมายเรียกและสำเนาคำฟ้องแก่จำเลยทั้งสองโดยประกาศทางหนังสือพิมพ์เท่านั้น แต่ศาลชั้นต้นกลับประกาศหนังสือพิมพ์นัดสืบพยานโจทก์ด้วยโดยไม่ปรากฎว่าศาล ชั้นต้นได้แจ้งวันนัดสืบพยานโจทก์ให้โจทก์ทราบจึงยังถือไม่ได้ว่าโจทก์ทราบ วันนัดสืบพยานโจทก์แล้วแม้จะปรากฎว่าทนายโจทก์ได้ส่งโทรสารแจ้งเหตุขัดข้อง ที่ไม่อาจไปศาลในวันนั้นได้แต่ตามโทรสารทนายโจทก์ก็เข้าใจว่าเป็นวันนัด พร้อมไม่พอฟังว่าทนายโจทก์ได้ทราบวันนัดสืบพยานโจทก์เช่นกันดังนั้นที่ศาล ชั้นต้นถือว่าคู่ความทั้งสองฝ่ายขาดนัดพิจารณาและมีคำสั่งจำหน่ายคดีเสียจาก สารบบความตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา200จึงเป็นการพิจารณาที่ ผิดระเบียบศาลฎีกาเห็นสมควรให้เพิกถอนกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบดังกล่าว เสียแล้วให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาใหม่ให้ถูกต้อง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1627/2538
จำเลย ยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบอ้างว่าจำเลยมิได้ลงชื่อ แต่งตั้งให้ ว. เป็นทนายความของจำเลยแต่ ว. ได้รับสำเนาคำฟ้องโจทก์ทำคำให้การแก้คดีและดำเนินกระบวนพิจารณาในฐานะทนาย ความของจำเลยตลอดมาเป็นเหตุให้ศาลชั้นต้นหลงผิดดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไปจน กระทั่งมีคำพิพากษาตามยอมให้จำเลยชดใช้เงินแก่โจทก์โดยจำเลยมิได้ยินยอมด้วย นั้นหากข้อเท็จจริงเป็นดังคำร้องของจำเลยกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นย่อม เป็นการไม่ชอบเพราะเท่ากับไม่มีการส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้แก่จำเลย เพื่อแก้คดีและหากจำเลยต้องผูกพันถูกบังคับตามคำพิพากษาตามยอมดังกล่าวโดย ไม่อาจร้องขอให้เพิกถอนกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบได้จำเลยย่อมได้รับความ เสียหายและไม่ได้รับความยุติธรรมจำเลยจึงมีสิทธิยื่นคำร้องขอต่อศาลชั้นต้น ให้เพิกถอนกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 321/2536
การ เพิกถอนกระบวนการพิจารณาที่ผิดระเบียบ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 27 วรรค 2 ที่จะต้องยื่นคำร้องก่อนศาลมีคำพิพากษานั้น จะใช้บังคับในกรณีที่คู่ความฝ่ายที่เสียหายเพิ่งทราบข้อความหรือพฤติการณ์ อันเป็นมูลแห่งข้ออ้างของการผิดระเบียบนั้นภายหลังจากศาลชั้นต้นมีคำพิพากษา แล้วหาได้ไม่ เพราะเป็นการฝืนธรรมชาติที่จะบังคับให้ยื่นคำร้องขอเพิกถอนโดยที่ตนยังไม่ ทราบข้อความหรือพฤติการณ์อันเป็นมูลแห่งข้ออ้างนั้น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 280/2530
ศาล ชั้นต้นสั่งคำฟ้องของโจทก์ว่า ถ้า ส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้จำเลยไม่ได้ให้โจทก์แถลงเพื่อดำเนินการต่อไป ภายใน 15 วัน นับแต่วันส่งไม่ได้ มิได้สั่งให้ปิดหมายเรียกและสำเนาคำฟ้อง แต่เจ้าพนักงานศาลกลับส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้จำเลยด้วยวิธีปิดหมาย ซึ่งไม่ชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 76จึงต้องถือว่าศาลยังไม่ได้ส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้แก่จำเลยกระบวน พิจารณาของศาลชั้นต้นตั้งแต่การส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้จำเลยและภาย หลังแต่นั้นมาเป็นการไม่ชอบและไม่มีผลตามกฎหมาย ศาลชั้นต้นจะต้องดำเนินกระบวนพิจารณาใหม่แม้จำเลยยื่นคำขอเมื่อพ้นกำหนด 6 เดือนนับแต่วันที่เจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์ของจำเลย 


คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 477/2550
จำเลยที่ 2 ยื่นคำร้องอ้างว่า จำเลยที่ 2 ไม่ทราบว่าถูกฟ้องเนื่องจากไม่เคยได้รับหมายและไม่เคยแต่งทนายความให้ดำเนิน กระบวนพิจารณาใดๆ ลายมือชื่อในใบแต่งทนายความของจำเลยที่ 2 เป็นลายมือชื่อปลอมโดยจำเลยที่ 1 เป็นผู้ปลอมลายมือชื่อจำเลยที่ 2 กระบวนพิจารณานับตั้งแต่ส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้แก่จำเลยที่ 2 จนกระทั่งศาลมีคำพิพากษาตามยอมไม่ชอบด้วยกฎหมาย ขอให้เพิกถอนกระบวนพิจารณาดังกล่าวนั้นต้องด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความ แพ่ง มาตรา 27 วรรคหนึ่ง แต่จำเลยที่ 2 ยื่นคำร้องล่วงเลยเวลา 8 วัน นับแต่ทราบพฤติการณ์อันเป็นมูลแห่งข้ออ้างว่าผิดระเบียบ จึงไม่มีสิทธิยื่นคำร้องดังกล่าว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 208/2550
จำเลย ที่ 1 อุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่ยกคำขอให้พิจารณาใหม่ของจำเลยที่ 1 โดยขอให้ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งอนุญาตให้พิจารณาใหม่ มีผลเท่ากับเป็นการอุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้นอยู่ในตัว จำเลยที่ 1 จึงมีหน้าที่ต้องนำเงินค่าธรรมเนียมซึ่งจะต้องใช้แก่โจทก์ตามคำพิพากษาศาล ชั้นต้นมาวางศาลพร้อมกับอุทธรณ์ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 229 เมื่อจำเลยที่ 1 ไม่ได้ปฏิบัติตามกฎหมายดังกล่าว อุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งในชั้นตรวจคำฟ้องอุทธรณ์ศาลชั้นต้นชอบที่จะมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ของ จำเลยที่ 1 ได้ทันที โดยไม่ต้องกำหนดเวลาให้จำเลยที่ 1 วางเงินค่าธรรมเนียมดังกล่าวเสียก่อนเพราะกรณีมิใช่เรื่องของการมิได้ชำระ หรือวางค่าธรรมเนียมศาลโดยไม่ถูกต้องครบถ้วนตามมาตรา 18

ศาลชั้นต้น สั่งรับอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 โดยมิได้สั่งให้จำเลยที่ 1 วางเงินค่าธรรมเนียมดังกล่าว ถือได้ว่าศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาโดยผิดหลงและเป็นกรณีที่มิได้ ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งในข้อที่มุ่งหมายจะ ยังให้การเป็นไปด้วยความยุติธรรมตาม ป.วิ.พ. มาตรา 27 วรรคหนึ่ง เมื่อศาลชั้นต้นยังมิได้ส่งอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 ไปให้ศาลอุทธรณ์พิจารณา ศาลชั้นต้นย่อมมีอำนาจเพิกถอนกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบโดยมีคำสั่งเพิกถอน คำสั่งรับอุทธรณ์และมีคำสั่งใหม่เป็นไม่รับอุทธรณ์ได้ทันที การที่ศาลชั้นต้นมิได้มีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์หลังจากที่มีคำสั่งเพิกถอนคำ สั่งรับอุทธรณ์แต่มีคำสั่งให้จำเลยที่ 1 นำเงินค่าธรรมเนียมซึ่งจะต้องใช้แก่คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งตามคำพิพากษามาวาง ศาลภายใน 15 วัน นับแต่วันทราบคำสั่งเท่ากับศาลชั้นต้นเปิดโอกาสให้แก่จำเลยที่ 1 ปฏิบัติให้ถูกต้องตามกฎหมายก่อนที่จะพิจารณาสั่งอุทธรณ์ว่าจะให้ส่งหรือ ปฏิเสธไม่ส่งอุทธรณ์ไปยังศาลอุทธรณ์อันเป็นกระบวนพิจารณาในชั้นตรวจคำฟ้อง อุทธรณ์ตามมาตรา 232 ซึ่งเป็นอำนาจหน้าที่ของศาลชั้นต้นโดยเฉพาะ คำสั่งศาลชั้นต้นดังกล่าวจึงชอบด้วยกฎหมาย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5118/2549
ผู้ ร้องเป็นผู้ซื้อทรัพย์จากการขายทอดตลาดในคดีล้มละลายกล่าวอ้างว่าการส่งหมาย นัดไต่สวนคำร้องของธนาคารผู้รับจำนองที่ขอให้เพิกถอนการขายทอดตลาดไม่ชอบ ด้วยกฎหมายนั้น ถือได้ว่าเป็นการกล่าวอ้างพฤติการณ์การไม่ปฏิบัติตามบทบัญญติในข้อที่ว่า ด้วยการส่งคำคู่ความตาม ป.วิ.พ. มาตรา 27 ประกอบ พ.ร.บ.จัดตั้งศาลล้มละลายและวิธีพิจารณาคดีล้มละลาย พ.ศ.2542 มาตรา 14 ซึ่งผู้ร้องชอบที่จะใช้สิทธิยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งเพิกถอนกระบวน พิจารณาที่ผิดระเบียบดังกล่าวได้ แม้เป็นระยะเวลาภายหลังจากศาลมีคำสั่งแล้ว แต่ต้องไม่ช้ากว่า 8 วัน นับแต่วันที่ผู้ร้องได้ทราบข้อความหรือพฤติการณ์อันเป็นมูลแห่งข้ออ้างนั้น เมื่อตามคำร้องผู้ร้องยอมรับว่าได้ทราบว่าศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้เพิกถอนการ ขายทอดตลาดเมื่อวันที่ 11 กันยายน 2546 การที่ผู้ร้องเพิ่งยื่นคำร้องยกข้อคัดค้านเรื่องผิดระเบียบดังกล่าวขึ้น กล่าวอ้างเมื่อวันที่ 25 กันยายน 2546 อันเป็นเวลาเกินกว่า 8 วัน จึงไม่ชอบตาม ป.วิ.พ. มาตรา 27 วรรคสอง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5779/2548
การ ที่โจทก์และจำเลยตกลงเห็นชอบร่วมกันให้ถือเอาถ้อยคำพยานโจทก์ที่เบิกความไว้ ในคดีอื่นมาเป็นถ้อยคำพยานโจทก์ในคดีนี้ย่อมมีผลบังคับและศาลย่อมนำถ้อยคำ พยานโจทก์ดังกล่าวมาวินิจฉัยได้ ไม่เป็นการผิดกฎหมายหรือขัดต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชน จึงมิใช่กระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบที่จำเลยจะขอให้ศาลมีคำสั่งเพิกถอนได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5648/2548
ใน วันนัดสืบพยานโจทก์วันที่ 15 กันยายน 2541 โจทก์และจำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 4 ไม่มาศาล ส่วนจำเลยที่ 3 มอบฉันทะให้เสมียนทนายยื่นคำร้องขอเลื่อนคดีอ้างว่าทนายจำเลยที่ 3 ป่วยเป็นไข้หวัดไม่อาจมาศาลได้ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าโจทก์ทราบนัดโดยชอบแล้วไม่มาศาลและไม่แจ้งเหตุขัดข้อง ให้จำหน่ายคดีโจทก์เสียจากสารบบความ การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้จำหน่ายคดีของโจทก์นั้นเป็นการสั่งตาม ป.วิ.พ. มาตรา 201 (เดิม) ซึ่งมีผลห้ามมิให้โจทก์อุทธรณ์คำสั่งหรือมีคำขอให้พิจารณาคดีใหม่ และมิใช่กรณีที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งโดยผิดหลงตามนัยแห่ง ป.วิ.พ. มาตรา 27 ดังนั้น การที่โจทก์ยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นเพิกถอนกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบและ ขอพิจารณาคดีใหม่ และศาลชั้นต้นมีคำสั่งนัดไต่สวนคำร้องของโจทก์ ต่อมาศาลชั้นต้นมีคำสั่งงดไต่สวนคำร้องและให้เพิกถอนคำสั่งจำหน่ายคดีแล้ว นัดสืบพยานโจทก์ต่อไป ซึ่งมีผลเท่ากับให้โจทก์มีโอกาสนำพยานเข้าสืบใหม่ คำพิพากษาของศาลชั้นต้นจึงไม่ชอบด้วยบทบัญญัติของกระบวนพิจารณาตาม ป.วิ.พ. มาตรา 201 (เดิม) การที่ศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษายืนตามคำสั่งของศาลชั้นต้นมานั้นย่อมไม่ชอบเช่น กัน ปัญหานี้เป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5186/2548
ประมวล กฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 27 วรรคสอง ที่กำหนดให้คู่ความฝ่ายที่เสียหายต้องยื่นคำร้องไม่ช้ากว่า 8 วัน นับแต่วันที่ได้ทราบข้อความหรือพฤติการณ์อันเกิดจากมูลแห่งข้ออ้างนั้นใช้ บังคับแก่การยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบทุกกรณีไม่ ว่าจะอยู่ในระหว่างพิจารณาหรือหลังจากศาลพิพากษา ดังนั้นคำร้องของโจทก์ที่ขอให้ศาลชั้นต้นเพิกถอนคำสั่งจำหน่ายคดีที่สั่งโดย ผิดระเบียบ โดยอ้างว่าการที่ทนายโจทก์มอบฉันทะให้เสมียนทนายนำคำร้องขอเลื่อนคดีมายื่น ต่อศาลโดยให้เหตุผลว่าป่วย ถือว่าโจทก์มาศาลและแจ้งเหตุขัดข้องให้ศาลทราบแล้ว ไม่ชอบที่ศาลชั้นต้นจะสั่งจำหน่ายคดีเพราเหตุโจทก์ไม่มาศาล จึงอยู่ในบังคับแห่งระยะเวลา 8 วัน ที่จะต้องปฏิบัติตามบทบัญญัติดังกล่าว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1248/2546
เมื่อ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งจำหน่ายคดีเสียจากสารบบความตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณา ความแพ่ง มาตรา 201 โจทก์จะขอให้พิจารณาคดีใหม่ไม่ได้ เพราะศาลชั้นต้นมิได้มีคำสั่งให้พิจารณาคดีนี้ไปฝ่ายเดียวอันเนื่องมาจากคู่ ความอีกฝ่ายหนึ่งขาดนัดพิจารณาและอีกฝ่ายหนึ่งมิได้ขาดนัดพิจารณา ทั้งห้ามโจทก์อุทธรณ์คำสั่งจำหน่ายคดีด้วย หากโจทก์เห็นว่าการที่ศาลสั่งจำหน่ายคดีไปนั้นเพราะหลงผิดเนื่องจากโจทก์ยัง ไม่ทราบกำหนดวันนัดสืบพยาน โจทก์ก็ชอบที่จะขอให้เพิกถอนกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบนั้นเสียได้ ถ้าศาลยกคำร้องที่ขอให้เพิกถอนกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบดังกล่าวโจทก์ก็ สามารถอุทธรณ์คำสั่งศาลนั้นต่อไปได้เมื่อโจทก์มิได้อุทธรณ์คำสั่งศาลที่ยกคำ ร้องฉบับแรกของโจทก์ที่ขอให้ศาลเพิกถอนกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบโจทก์คงมี สิทธิที่จะฟ้องคดีนี้ใหม่ภายในอายุความเท่านั้น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 812/2546
เมื่อ คดีโจทก์ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในข้อเท็จจริง โจทก์ย่อมมีสิทธิยื่นคำร้องขอให้ผู้พิพากษาที่นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้น รับรองว่า โจทก์มีเหตุอันควรอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงได้ การที่ผู้พิพากษาที่นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า คดีนี้ไม่ต้องห้ามอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงจึงไม่จำต้องมีการรับรองให้ อุทธรณ์ จึงเป็นการสั่งคดีโดยผิดหลง และเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาที่ไม่ชอบ ถือไม่ได้ว่าผู้พิพากษาที่นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นได้รับรองว่ามีเหตุอัน ควรอุทธรณ์ได้ แต่การที่จะสั่งเพิกถอนกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบหรือไม่นั้นเป็นดุลพินิจ ของศาลที่สั่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 27 เมื่อปรากฏว่าโจทก์ได้ยื่นฎีกาในข้อเท็จจริงประเด็นเดียวกับที่อุทธรณ์ และได้ยื่นคำร้องขอให้ผู้พิพากษาที่นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นและศาล อุทธรณ์รับรอง แต่ไม่มีผู้ใดรับรองให้ กรณีจึงไม่มีเหตุสมควรที่จะสั่งเพิกถอนคำสั่งของศาลชั้นต้นดังกล่าว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6664/2545
ผู้ ร้องขอให้เพิกถอนการอายัดที่ดินที่ผู้ร้องนำมาวางเป็นหลักประกันและศาลชั้น ต้นมีคำสั่งให้ตรวจคืนโฉนดที่ดินที่นำมาวางเป็นหลักประกันให้แก่ผู้ร้องไป ทั้งที่ผู้ร้องยังคงต้องรับผิดตามเนื้อความในหนังสือประกันอยู่ ซึ่งต่อมาภายหลังเมื่อเห็นว่าเป็นการมิได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งประมวล กฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ในข้อที่มุ่งหมายจะยังให้การเป็นไปด้วยความยุติธรรม ศาลชั้นต้นย่อมมีอำนาจสั่งเพิกถอนกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบนั้นเสียทั้ง หมดหรือบางส่วน หรือสั่งแก้ไขหรือมีคำสั่งในเรื่องนั้นอย่างใดอย่างหนึ่งตามที่เห็นสมควรได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 27 วรรคหนึ่ง ฉะนั้น การที่ศาลชั้นต้นนัดพร้อมและสอบถามโจทก์ จำเลยกับผู้ร้องแล้วมีคำสั่งยกคำร้องของผู้ร้อง จึงเป็นการสั่งตามอำนาจที่ศาลชั้นต้นมีอยู่ตามมาตราดังกล่าวหาใช่เป็นการ ดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5876/2545
การ ขอเพิกถอนกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 27 หาจำต้องยื่นคำร้องต่อศาลก่อนศาลมีคำพิพากษาเสมอไปไม่ หากคู่ความฝ่ายที่เสียหายเพิ่งทราบกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบภายหลังจากศาล มีคำพิพากษาแล้ว ก็ชอบที่จะใช้สิทธิยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งเพิกถอนกระบวนพิจารณาที่ผิด ระเบียบได้ แต่ต้องไม่ช้ากว่าแปดวันนับแต่วันที่คู่ความฝ่ายนั้นทราบข้อความหรือ พฤติการณ์อันเป็นมูลแห่งข้ออ้างนั้น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5508/2545
จำเลย ที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การ โจทก์ไม่ยื่นคำขอต่อศาลชั้นต้นภายในกำหนดระยะเวลาที่บัญญัติไว้ในประมวล กฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 198 วรรคหนึ่ง ศาลชั้นต้นจึงมีคำสั่งจำหน่ายคดีออกจากสารบบความตามมาตรา 198วรรคสอง คำสั่งดังกล่าวเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา โจทก์มิได้โต้แย้งคำสั่งจำหน่ายคดีของศาลชั้นต้นเพื่อใช้สิทธิอุทธรณ์ฎีกา ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 226(2) จึงไม่มีสิทธิอุทธรณ์ฎีกาคำสั่งของศาลชั้นต้นที่ให้จำหน่ายคดีเฉพาะจำเลยที่ 1 ได้ คำร้องขอให้เพิกถอนกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบของโจทก์มิใช่คำโต้แย้งคัด ค้านคำสั่งระหว่างพิจารณาเพื่อใช้สิทธิในการอุทธรณ์ฎีกาต่อไป

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9148/2544
ศาล ชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินแก่โจทก์กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทน โจทก์ ต่อมาจำเลยยื่น คำร้องขอให้เพิกถอนกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบและขอให้พิจารณาใหม่ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้อง แม้จำเลยจะอุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นที่สั่งงดไต่สวนพยานจำเลยในชั้นขอให้ เพิกถอนกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบก็ตาม แต่ถ้าหากศาลอุทธรณ์เห็นพ้องด้วย ศาลอุทธรณ์ก็ต้องมีคำสั่งให้เพิกถอนคำสั่งของศาลชั้นต้น และอนุญาตให้จำเลย นำพยานเข้าไต่สวนเพื่อจะได้ใช้ดุลพินิจมีคำสั่งให้เพิกถอนกระบวนพิจารณาที่ จำเลยอ้างว่าศาลชั้นต้นทำผิดระเบียบหรือไม่ต่อไป อุทธรณ์ของจำเลยจึงมีผลส่วนหนึ่งเท่ากับเป็นการขอให้ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ คำพิพากษาศาลชั้นต้น จำเลยจึงต้องนำเงินค่าธรรมเนียมซึ่งจะต้องใช้แทนแก่โจทก์ตามคำพิพากษาศาล ชั้นต้นมาวางศาลพร้อมอุทธรณ์ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 229 เมื่อจำเลยไม่นำเงินค่าธรรมเนียมดังกล่าวมาวางศาลพร้อมอุทธรณ์ จึงเป็นอุทธรณ์ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8147/2544

การ ที่จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ว่าศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาไม่ชอบด้วยกฎหมาย และเป็นการผิดระเบียบ มิได้อุทธรณ์ว่าเป็นเรื่องขอให้พิจารณาคดีใหม่ การที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า คำร้องและอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสองเป็นเรื่องขอให้พิจารณาคดีใหม่ แต่ได้ยื่นคำร้องขอพิจารณาคดีใหม่พ้นกำหนด 15 วัน นับแต่วันที่พฤติการณ์นอกเหนือไม่อาจบังคับได้สิ้นสุดลง จำเลยทั้งสองไม่มีสิทธิที่จะยื่นคำขอให้พิจารณาคดีใหม่นั้นจึงไม่ชอบด้วย กฎหมาย เพราะไม่มีประเด็นโต้เถียงกันในชั้นอุทธรณ์ ดังนั้น การที่จำเลยทั้งสองฎีกาว่า จำเลยทั้งสองยี่นคำร้องขอพิจารณาคดีใหม่ภายใน 15 วัน นับแต่วันที่พฤติการณ์นอกเหนือไม่อาจบังคับได้สิ้นสุดลง จึงเป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้

โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยทั้งสองขนย้าย ทรัพย์สินและบริวารออกไปจากบ้านพิพาทที่จังหวัดจันทบุรี แต่เมื่อขณะถูกฟ้องจนศาลชั้นต้นมีคำพิพากษา จำเลยทั้งสองได้ไปค้าขายอยู่ที่จังหวัดนนทบุรี จึงไม่ทราบเรื่องที่ถูกฟ้อง ซึ่งโดยสภาพย่อมเป็นเรื่องพ้นวิสัยที่จำเลยทั้งสองจะมายื่นคำร้องขอให้เพิก ถอนกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบเสียก่อนที่ศาลชั้นต้นจะมีคำพิพากษาได้ จำเลยทั้งสองจึงชอบที่จะยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบ นั้นหลังจากศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาแล้วได้
การที่พนักงานเดินหมายนำหมาย นัดสืบพยานโจทก์ไปปิด ณ บ้านจำเลยทั้งสอง เป็นเวลาก่อนวันนัดสืบพยานโจทก์เพียง 11 วัน การปิดหมายนัดดังกล่าวจึงไม่มีผลตาม ป.วิ.พ. มาตรา 79 วรรคสอง ถือไม่ได้ว่าจำเลยทั้งสองทราบวันนัดสืบพยานโจทก์โดยชอบ แม้จำเลยทั้งสองไม่ไปศาลในวันนัดก็ยังถือไม่ได้ว่าจำเลยทั้งสองจงใจขาดนัด พิจารณา ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าจำเลยขาดนัดพิจารณาแล้วให้พิจารณาคดีโจทก์ไปฝ่าย เดียว จึงไม่ชอบด้วยกระบวนพิจารณา เป็นการพิจารณาที่ผิดระเบียบ ชอบที่ศาลจะเพิกถอนกระบวนพิจารณาดังกล่าวเสียได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 27

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5916/2544
ใน ระหว่างการสืบพยานจำเลย ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้เจ้าพนักงานศาลนำสำนวนคดีแพ่งอีกคดีหนึ่งมาผูกติดไว้ กับสำนวนคดีตามที่ทนายจำเลยยื่นคำแถลงขอและอนุญาตให้เลื่อนการพิจารณาออกไป ตามที่ทนายจำเลยแถลงขอเวลาในการตรวจสอบสำนวนคดีที่มาผูกติดไว้ เมื่อถึงวันนัดสืบพยานถัดไป เจ้าพนักงานศาลมิได้นำสำนวนคดีแพ่งดังกล่าวมาผูกติดไว้ แต่ทนายจำเลยก็ไม่ได้โต้แย้งคัดค้านทั้งยังนำพยานเข้าเบิกความต่อจนเสร็จ สิ้น จนศาลชั้นต้นพิพากษาคดีต่อมา จากพฤติการณ์ดังกล่าวจำเลยมิได้โต้แย้งว่าศาลชั้นต้นพิจารณาผิดระเบียบตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 27 วรรคสองแต่อย่างใดข้อที่ว่าศาลชั้นต้นพิจารณาผิดระเบียบหรือไม่ จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5415/2543
ศาล ชั้นต้นมีคำสั่งให้เพิกถอนกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบต่อเนื่องมาจากกระบวน พิจารณาที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้องขออุทธรณ์อย่างคนอนาถาของจำเลย ต่อมาจำเลยยื่นอุทธรณ์คำสั่งขออุทธรณ์อย่างคนอนาถา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ จำเลยจึงยื่นคำร้องขอให้พิจารณาคำขออุทธรณ์อย่างคนอนาถาใหม่ แม้ศาลชั้นต้นจะมิได้ระบุเหตุผลในการสั่งเพิกถอนคำสั่งเดิมที่รับคำร้องขอ ให้พิจารณาคำขออุทธรณ์อย่างคนอนาถาใหม่ ก็เป็นที่เข้าใจได้ว่าเป็นเพราะศาลชั้นต้นเห็นว่า เมื่อมีคำสั่งยกคำร้องขออุทธรณ์อย่างคนอนาถา และจำเลยได้ใช้สิทธิยื่นอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นนั้นแล้วจึงไม่ชอบที่ศาล ชั้นต้นจะพิจารณาคำร้องขอให้พิจารณาคำขออุทธรณ์อย่างคนอนาถาใหม่อีกซึ่ง จำเลยเข้าใจถึงเหตุที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้เพิกถอนกระบวนพิจารณาที่ผิด ระเบียบนั้นแล้ว คำสั่งให้เพิกถอนกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบของศาลชั้นต้น จึงเป็นคำสั่งที่ชอบแล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1087/2542
ตาม คำพิพากษาศาลชั้นต้นซึ่งศาลอุทธรณ์และศาลฎีกา พิพากษายืนตาม พิพากษาให้จำเลยโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดิน2 แปลงที่พิพาทกันให้แก่โจทก์ หากไม่ปฏิบัติตาม ให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย หรือให้จำเลยใช้เงินค่าที่ดินแก่โจทก์ในส่วนที่จำเลยไม่สามารถโอนคืนแก่ โจทก์ได้นั้น เป็นเรื่องที่กำหนดให้จำเลยชำระหนี้ทีละอย่างก่อนหลังตามลำดับในคำพิพากษา จำเลยไม่มีสิทธิเลือกปฏิบัติการชำระหนี้ตามอำเภอใจ เมื่อข้ออ้างที่จำเลยไม่ยอมโอนที่พิพาทให้แก่โจทก์ไม่ใช่เหตุพ้นวิสัย จำเลยจึงไม่มีสิทธิชดใช้ราคาที่ดินพิพาทแทน การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตให้จำเลยชดใช้เงินค่าที่ดินแทนการที่จำเลยจะ ต้องโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินดังกล่าวให้โจทก์ก่อน โดยไม่ปรากฏว่ามีเหตุสุดวิสัยจนทำให้จำเลยไม่สามารถโอนได้นั้น คำสั่งดังกล่าวจึงเป็นคำสั่งในชั้นบังคับคดีที่สั่งไปโดยผิดหลง เป็นคำสั่งไม่ชอบและเป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนเมื่อศาล เห็นสมควรย่อมมีอำนาจที่จะสั่งให้เพิกถอนกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบเสีย ทั้งหมดหรือบางส่วนได้อยู่แล้วตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 27 การที่ศาลชั้นต้นเพิกถอนคำสั่งดังกล่าวโดยไม่ได้ ส่งสำเนาคำร้องของ โจทก์ให้จำเลยทราบ จึงชอบด้วย กระบวนพิจารณาแล้วไม่ขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 21(2)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5780/2541
ศาล แรงงานมีคำสั่งคำร้องให้เพิกถอนการพิจารณาที่ผิดระเบียบของจำเลยว่า จำเลยแต่งตั้งให้ ก. เป็นทนายความและใบแต่งทนายความดังกล่าวระบุให้ทนายจำเลยมีอำนาจทำสัญญาประนี ประนอมยอมความ ที่ศาลพิพากษาตามยอมจึงมิใช่การพิจารณาที่ผิดระเบียบ ถือได้ว่าศาลแรงงานฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยยินยอมให้ทนายความกรอกข้อความในใบแต่งทนายความระบุให้ทนายจำเลยมีอำนาจ ทำสัญญาประนีประนอมยอมความได้ ดังนั้นที่จำเลยอุทธรณ์ว่าจำเลยมิได้มอบอำนาจให้ทนายความมีอำนาจทำสัญญา ประนีประนอมยอมความ และมิได้ยินยอมให้ทนายความกรอกข้อความดังกล่าวในใบแต่งทนายความ การทำสัญญาประนีประนอมยอมความโดยทนายจำเลยซึ่งไม่มีอำนาจเป็นการพิจารณาที่ ผิดระเบียบจึงเป็นอุทธรณ์โต้เถียงข้อเท็จจริงเพื่อนำไปสู่ปัญหาข้อกฎหมาย เรื่องการพิจารณาที่ผิดระเบียบ อันเป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงต้องห้ามอุทธรณ์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5612/2540
จำเลย ยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบอ้างว่า จำเลยไม่เคยแต่งตั้งให้ ว. เป็นทนายความการที่ว.อ้างว่าเป็นทนายความของจำเลย ขอรับสำเนาคำฟ้องแทน และแถลงว่าโจทก์จำเลยตกลงกันได้เป็นความเท็จ เป็นเหตุให้ศาลหลงเชื่อทำสัญญาประนีประนอมยอมความและพิพากษาตามยอม เป็นเหตุให้จำเลยได้รับความเสียหายหากความจริงเป็นดังที่จำเลยอ้างย่อมถือ ได้ว่าเป็นกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 27 วรรคหนึ่งแต่จำเลยต้องยกข้อค้านเรื่องผิดระเบียบนั้นไม่ช้ากว่าแปดวันนับแน่ วันที่จำเลยทราบพฤติการณ์อันเป็นมูลแห่งข้ออ้างตามวรรคสอง การที่จำเลยได้ยื่นคำร้องกล่าวหาว่า โจทก์และว.ละเมิดอำนาจศาล เนื่องจากพฤติการณ์ของ ว. ที่อ้างว่าเป็นทนายของจำเลยขอรับสำเนาคำฟ้อง และขอทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับโจทก์ ลายมือชื่อจำเลยในใบแต่งให้ ว. เป็นทนายความเป็นลายมือชื่อปลอม ซึ่งโจทก์รู้เห็นด้วย แสดงว่าจำเลยทราบพฤติการณ์อันเป็นมูลแห่งข้ออ้างว่าผิดระเบียบตั้งแต่วันที่ ยื่นคำร้องดังกล่าวเป็นอย่างช้า ดังนี้เมื่อจำเลยเพิ่งมายื่นคำร้องยกข้อค้านเรื่องผิดระเบียบนั้นเมื่อเกิน กว่าแปดวัน จึงไม่ชอบตามมาตรา 27 วรรคสอง




 

ศาลเสนอตรวจจิตผู้พิพากษา

$
0
0
ศาลเสนอตรวจจิตผู้พิพากษาทุก5ปี


 เมื่อวันที่ 8 มี.ค. นายสิทธิศักดิ์ วนะชกิจ โฆษกศาลยุติธรรม กล่าวกรณีนายกิติ ปิ่นงาม ผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ ใช้อาวุธปืนยิงตัวตาย เนื่องจากเครียดและมีปัญหาโรคซึมเศร้าว่า ตามปกติแล้วก่อนสอบเข้าเป็นผู้ช่วยผู้พิพากษา จะต้องตรวจร่างกายและตรวจอาการทางจิต มีบางคนสอบไม่ผ่านการตรวจทางจิต แต่เมื่อเข้ารับราชการเป็นผู้พิพากษาแล้วทำงานต่อเนื่องไปจนถึงศาลฎีกา จะมีการตรวจสุขภาพร่างกายเพียงอย่างเดียว ไม่ตรวจอาการทางจิต ดังนั้น จะรู้เพียงว่าผู้พิพากษาคนใดเจ็บป่วยทางกาย แต่จะไม่สามารถรู้ได้เลยว่าท่านใดมีอาการป่วยทางจิต 

 กรณี ท่านกิติ เท่าที่ทราบภรรยาท่านก็ไม่ทราบมาก่อน และเมื่อสอบถามไปยังเพื่อนร่วมรุ่นผู้ช่วยผู้พิพากษารุ่นที่ 29 และเพื่อนผู้พิพากษาในแผนกคดียาเสพติดในศาลอุทธรณ์ ทราบว่าท่านกิติเป็นปกติ ร่าเริง ไม่มีอาการส่อไปในทางที่จะป่วยทางจิต ซึ่งบรรดาผู้พิพากษาและเพื่อนๆ ตกใจมาก ที่ต้องสูญเสียทรัพยากรที่มีคุณค่า ท่านกิติเป็นผู้พิพากษาที่ซื่อสัตย์สุจริต ไม่มีประวัติด่างพร้อย อาจป่วยแบบเฉียบพลัน และไม่ใช่คนแรกที่กระทำอัตวิบากกรรมตัวเอง นายสิทธิศักดิ์กล่าว

 โฆษกศาลยุติธรรมกล่าวต่อว่า อย่างไรก็ตาม ส่วนตัวเห็นว่าอาจต้องนำกรณีนายกิติ เสนอนายไพโรจน์ วายุภาพ ประธานศาลฎีกา นำเข้าสู่ที่ประชุมบอร์ดผู้บริหาร หารือทบทวนเรื่องการตรวจสุขภาพจิต อาจจะกำหนดให้ตรวจทุกๆ 5 ปี หรือก่อนเลื่อนตำแหน่ง อาจจะต้องทดสอบสุขภาพจิต โดยใช้แบบทดสอบทางจิตวิทยาเบื้องต้นก็พอจะทราบได้ เพราะปัจจุบันผู้พิพากษาทำงานท่ามกลางความขัดแย้งของคู่ความ เผชิญความเครียดทุกวัน เปรียบเสมือนทำงานท่ามกลางมลภาวะ ค่อยๆ สะสมเข้าไปในร่างกาย ถึงจุดหนึ่งก็จะปรากฏอาการ ขึ้นอยู่กับภูมิคุ้มกันของตนเองว่ามีมากน้อยเพียงใด 
ที่มา http://www.khaosod.co.th
Viewing all 71 articles
Browse latest View live